Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors

เมื่อคุณฟันคุดจะทำอย่างไร

MU DENT faculty of dentistry

เมื่อคุณฟันคุดจะทำอย่างไร

ศ.ทพ. ณัฐเมศร์ วงศ์สิริฉัตร

ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล

ฟันคุดเกิดจากสาเหตุใด

ฟันคุด คือ ฟันที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติ เนื่องจากมีฟันเนื้อเยื่อหรือกระดูกปิดขวางอยู่ มักพบในฟันกรามซี่สุดท้ายและฟันเขี้ยว

 

ถ้าไม่ถอนจะมีอันตรายหรือไม่
ถ้าไม่ถอนฟันคุดออกมีโอกาสทำให้เกิดอันตรายได้ ขึ้นอยู่กับสภาพของฟันและเวลาที่ปล่อยทิ้งไว้ อาจะเกิดอันตรายได้ เช่น

 

1. การอักเสบของเหงือก
เมื่อฟันกรามซี่สุดท้ายขึ้น อาจจะมีการอักเสบของเหงือก เนื่องจากมีการติดเชื้อ มีอาการบวมแดง มีหนอง ทำให้ปวด มีไข้ และเจ็บคอ กลืนน้ำลายลำบาก และอ้าปากไม่ได้

 

2. ฟันซ้อนเก
ทำให้ปวดเนื่องจากมีแรงดันของฟันคุดไปดันซี่ข้างเคียง หรือกดบนเส้นประสาทที่อยู่ในขากรรไกรล่างและฟันคุด ซึ่งขึ้นชนฟันที่อยู่ข้างเคียงจะทำให้ฟันหน้าซ้อนเกได้

 

 

3. ถุงน้ำรอบฟันคุด

ทำให้เกิดโรคถุงน้ำและอาจเปลี่ยนเป็นเนื้องอกที่เรียกว่า “มะเร็งกรามช้าง” ซึ่งพบว่ามีสาเหตุเกิดจากฟันคุดถึง 33 % ถุงน้ำจะทำให้ฟันเคลื่อนที่ผิดจากตำแหน่งเดิมและละลายกระดูกรอบฟัน ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อฟันและเหงือกรอบๆ นั้นได้

 

 

4. ฟันข้างเคียงผุ
ฟันคุดซี่สุดท้ายที่ขึ้นชนฟันกรามซี่ติดกัน มักทำให้เกิดกลิ่นปากและฟันข้างเคียงผุ เนื่องจากมีเศษอาหารติดระหว่างฟันคุดและฟันข้างเคียง เนื่องจากทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง

 

 

การถอนฟันคุด ทำอย่างไร
เนื่องจากฟันคุดเป็นฟันที่มีฟันเนื้อเยื่อหรือกระดูกปิดขวางอยู่ จึงไม่สามารถใช้คีมจับถอนได้อย่างฟันปกติ จึงต้องใช้วิธี ผ่าเหงือก ตัดกระดูก และตัดฟันออกทีละชิ้น จึงสามารถเอาฟันคุดออกมาได้ทั้งหมด โดยไม่ทำอันตรายต่อฟันข้างเคียง หรือส่วนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้น

 

ข้อปฏิบัติหลังผ่าตัดฟันคุด
1. กัดผ้าก๊อตให้แน่นพอสมควรไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นเอาผ่าก๊อตออก
2. ถ้าเลือดไหลไม่หยุด ห้ามอมน้ำแข็ง ควรใช้น้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกและห่อผ้ามาประคบนอกปากบริเวณที่ผ่าตัดฟันคุด
3. แปรงฟันได้ตามปกติในวันรุ่งขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้แปรงฟันแรงๆ ตรงแผลผ่าตัด
4. ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ หลังผ่าตัด
5. ถ้าปวดให้รับประทานยาแก้ปวดตามที่ทันตแพทย์แนะนำ
6. ถ้ามีอาการผิดปกติให้รีบมาพบทันตแพทย์
7. ถ้ามีการเย็บแผลต้องกลับมาตัดไหมภายใน 7 วัน หลังผ่าตัด

ขากรรไกรค้างทำอย่างไรดี

MU DENT faculty of dentistry

ขากรรไกรค้างทำอย่างไรดี

อ.ดร.ทพญ. นามรัฐ ฉัตรไชยยันต์

ภาควิชาวิทยาระบบบดเคี้ยว

ขากรรไกรค้างเป็นอย่างไร

คนทั่วไปมักใช้คำว่าอ้าปากค้างหรือกรามค้างเพื่ออธิบาย 2 อาการ คือ
1. อ้าปากแล้วหุบลงไม่ได้
2. อ้าปากได้น้อยกว่าปกติ

การอ้าปากแล้วหุบลงไม่ได้ ทางการแพทย์ เรียกว่า ขากรรไกรค้างหรืออ้าปากค้าง แต่เมื่ออ้าปากแล้วไม่สามารถอ้าปากได้กว้างตามปกติ เรียกว่า อ้าปากได้จำกัดหรืออ้าปากไม่ขึ้น

 

อ้าปากค้างเกิดจากอะไร
โดยทั่วไปเมื่อเราอ้าปากและหุบปาก ข้อต่อขากรรไกรที่อยู่บริเวณหน้ารูหูจะหมุนและเคลื่อนไปมาในเบ้ากระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ติดกับกระโหลกศีรษะ เมื่ออ้าปากหัวข้อต่อขากรรไกรและหมอนรองข้อต่อขากรรไกรจะเคลื่อนออกจากเบ้ากระดูกและเคลื่อนกลับเข้าเบ้ากระดูกเมื่อหุบปาก เมื่ออ้าปากค้างหัวข้อต่อขากรรไกรจะเคลื่อนพ้นเบ้ากระดูกออกมาขัดค้างอยู่นอกเบ้า และไม่สามารถเคลื่อนกลับเข้าที่ได้ เราจึงไม่สามารถหุบปากลงได้ตามปกติ เช่น เมื่อหาวกว้างๆ หัวเราะกว้างๆ รับประทานอาหารคำโตๆ อ้าปากกว้างเพื่อทำฟันนานๆ ซึ่งอาจเกิดเสียงดังบริเวณข้อต่อขากรรไกรเมื่อเกิดขากรรไกรค้างและขณะเกิดอาการมักรู้สึกเจ็บปวดร่วมด้วย

 

เมื่ออ้าปากค้างควรทำอย่างไร

เมื่ออ้าปากค้างต้องพยายามสงบใจและอย่าตกใจเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบดเคี้ยวเกร็งมากขึ้น และไม่สามารถจัดตำแหน่งขากรรไกรเข้าที่ได้ บางครั้งเมื่อผู้ป่วยพยายามขยับขากรรไกรไปมาหรือนวดคลึงบริเวณหน้าหูและข้างแก้มเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อก็จะสามารถหุบปากลงได้เอง ทั้งนี้ห้ามตบหรือชกใบหน้าและขากรรไกรหรือพยายามหุบปากลงทั้งที่ข้อต่อขากรรไกรยังค้างอยู่ เพราะจะทำให้เจ็บมากขึ้น

หากลองรักษาด้วยตนเองในเบื้องต้นแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ควรรับการรักษาอย่างฉุกเฉินจากแพทย์หรือทันตแพทย์ที่จะจัดขากรรไกรให้เข้าที่ได้ หากกล้ามเนื้อบดเคี้ยวของผู้ป่วยเกร็งมาก ผู้ป่วยอาจได้รับยาเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดความกังวล ซึ่งจะเอื้อให้แพทย์และทันตแพทย์จัดขากรรไกรเข้าที่ได้ง่ายขึ้น เมื่อสามารถหุบปากลงได้แล้วไม่ควรอ้าปากกว้างๆ อีก เพราะอาจทำให้อ้าปากค้างอีกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ้าปากค้างขณะทำฟันสามารถประคบบริเวณหน้าหูหรือข้างแก้มด้วยผ้าห่อน้ำแข็งเพื่อลดอาการเจ็บปวด ควรรับประทานอาหารอ่อนจนกว่าจะหายเจ็บและถ้ายังเจ็บมากสามารถรับประทานยาแก้ปวดลดการอักเสบ (NSAIDs) สักระยะได้

 

อ้าปากค้างป้องกันได้อย่างไร

– หลีกเลี่ยงการอ้าปากกว้างมากๆ เช่น เวลาหาวให้เอามือประคองใต้คาง เวลารับประทานอาหารให้ตัดอาหารเป็นคำเล็กๆ
– เวลาทำฟันให้แจ้งทันตแพทย์หากมีประวัติเคยมีขากรรไกรค้าง หรือขอพักเป็นระยะเพื่อหุบปากลงหากรู้สึกเมื่อย
– หมั่นบริหารขากรรไกร หากมีอาการอ้าปากค้างบ่อยๆ โดยวางปลายลิ้นที่เพดานปากบริเวณเหงือกหลังฟันหน้าบน แล้วอ้าปากจนกว้างที่สุด โดยให้ปลายลิ้นยังแตะบริเวณนี้ตลอดเวลา ไม่ดันฟันหน้าเพราะอาจทำให้ฟันหน้ายื่น ค้างอยู่ท่านี้ประมาณ 6 วินาที ทำซ้ำ 6 ครั้ง นับเป็น 1 รอบ ทำวันละ 6 รอบ ท่าบริหารนี้จะเป็นการฝึกให้ผู้ป่วยอ้าปากอยู่ในวงจำกัดที่หัวข้อต่อขากรรไกรเคลื่อนอยู่ภายในเบ้ากระดูก ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าอ้าปากได้แคบลงซึ่งจะไม่ทำให้อ้าปากกว้างเกินจำกัดและอ้าปากค้างต่อไป

หากดูแลขากรรไกรแล้วยังคงอ้าปากค้างและไม่สามารถเอากลับเข้าที่ได้ด้วยตนเองบ่อยๆ ทันตแพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดแก้ไขโครงสร้างของข้อต่อขากรรไกร

 

เฝือกสบฟัน

MU DENT faculty of dentistry

เฝือกสบฟัน

ศ.คลินิก ทพญ.ณัฏยา อัศววรฤทธิ์

ผศ.ทพ.ธัช อิทธิกุล

ภาควิชาวิทยาระบบบดเคี้ยว

เฝือกสบฟันคืออะไร
เฝือกสบฟัน หรือ Occlusal splint
เป็นเครื่องมือทางทันตกรรมอย่างหนึ่งที่ทันตแพทย์
ทำให้ผู้ป่วยใส่ในช่องปากเพื่อบรรเทาอาการเจ็บปวด
ของข้อต่อขากรรไกรและกล้ามเนื้อบดเคี้ยว
และยังป้องกันฟันสึกในกรณีที่ผู้ป่วยนอนกัดฟัน

 

เฝือกสบฟันเหมาะกับใครบ้าง
เฝือกสบฟันเหมาะสมกับผู้ที่มีความผิดปกติของกล้ามเนื้อบดเคี้ยวและข้อต่อขากรรไกรบางประเภท เช่น
1. มีนิสัยนอนกัดฟัน หรือขบเน้นฟันในเวลากลางวัน
มีการใช้งานกล้ามเนื้อบดเคี้ยวมากกว่าปกติ
ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อบดเคี้ยวและข้อต่อขากรรไกรได้
2. มีเสียงคลิกและติดขัดเวลาอ้าปากหรือหุบปาก
3. มีภาวะข้อเสื่อมของขากรรไกร

 

เฝือกสบฟันช่วยคุณได้อย่างไร
เฝือกสบฟันช่วยกระจายแรงสบฟันอย่างเหมาะสม ทำให้ลดแรงที่กล้ามเนื้อบดเคี้ยวและข้อต่อขากรรไกร ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดอาการปวด นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันฟันสึกจากการนอนกัดฟันได้

 

ชนิดของเฝือกสบฟัน
1. เฝือกสบฟันชนิดอ่อน (Soft Occlusal Splint) เป็นเฝือกสบฟันที่ทำจากวัสดุนิ่ม ทำได้ง่ายและรวดเร็ว มักใช้ในกรณีที่
– ผู้ป่วยอายุน้อย ขากรรไกรยังมีการเจริญเติบโต จึงไม่ขัดขวางการเจริญเติบโตของขากรรไกร
– ใช้บำบัดฉุกเฉินในผู้ป่วยที่มีอาการปวดมาก ใช้ชั่วคราวระหว่างรอทำเฝือกสบฟันชนิดแข็ง
– ใช้ในกรณีอื่นๆ เช่น ป้องกันฟันสึกกร่อนจากการว่ายน้ำที่ต้องสัมผัสน้ำคลอรีนเป็นเวลานานๆ ใช้ป้องกันการกระทบกระแทกขณะเล่นกีฬาบางประเภท เป็นต้น

 

ข้อเสีย เฝือกสบฟันชนิดอ่อน มีอายุการใช้งานสั้น ไม่ทนทาน จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนบ่อยๆ และบางครั้งอาจทำให้นอนกัดฟันมากขึ้นได้

2. เฝือกสบฟันชนิดแข็ง (Hard Occlusal splint) ทำจากพลาสติกชนิดแข็ง มีอายุการใช้งานนานกว่าเฝือกสบฟันชนิดอ่อน มักใช้ในกรณีที่
– นอนกัดฟัน เพื่อป้องกันฟันสึก และช่วยลดอาการเมื่อยล้าขากรรไกรและกล้ามเนื้อบดเคี้ยว
– ผู้ป่วยมีนิสัยขบเน้นฟันในเวลากลางวัน แล้วแก้นิสัยไม่หาย
– มีความผิดปกติของข้อต่อขากรรไกรบางประเภท เช่น ข้อต่อขากรรไกรเสื่อม หรือมีเสียงคลิกและติดขัดเวลาอ้าปากหรือหุบปาก (บางราย)

 

ข้อเสีย เฝือกสบฟันชนิดแข็ง ใช้เวลาทำนาน จึงต้องเสียเวลามากกว่าเฝือกสบฟันชนิดอ่อน เฝือกสบฟันชนิดนี้อาจขัดขวางการเจริญเติบโตของขากรรไกรจึงไม่เหมาะสมที่จะใช้ในเด็กที่ยังมีการเจริญเติบโตของขากรรไกรอยู่
แต่มีข้อดีที่สำคัญ คือ ทำให้การสบฟันมีเสถียรภาพขณะใส่และกล้ามเนื้อผ่อนคลายได้ดีกว่า

 

ข้อแนะนำในการใช้ เฝือกสบฟัน
– ควรใส่เฝือกสบฟันเฉพาะเวลากลางคืนหรือตามที่ทันตแพทย์ผู้รักษากำหนด
– โดยปกติเมื่อเริ่มใส่เฝือกสบฟัน อาจรู้สึกตึงเล็กน้อยที่ฟันประมาณ 2 – 3 นาที
– หากมีอาการเจ็บฟันจากการใส่เฝือกสบฟันควรถอดออก และรีบมาพบทันตแพทย์เพื่อปรับแต่งแก้ไข
– ขณะใส่เฝือกสบฟัน อาจมีน้ำลายไหลมากกว่าปกติในช่วงแรกๆ เมื่อใส่จนชินแล้วก็จะรู้สึกเป็นปกติ
– เมื่อถอดเฝือกสบฟัน อาจรู้สึกว่าการสบฟันเปลี่ยนไป หรือกัดฟันได้ไม่เหมือนเดิม สักครู่จึงจะรู้สึกกัดฟันได้ตามปกติ
– ควรทำความสะอาดเฝือกสบฟันทุกวัน โดยใช้แปรงสีฟันและยาสีฟันแปรงทั้งด้านนอกและด้านใน และแช่น้ำสะอาดเก็บในภาชนะที่มีฝาปิด เปลี่ยนน้ำทุกวัน

นอนกัดฟัน ทำอย่างไรดี

MU DENT faculty of dentistry

นอนกัดฟัน ทำอย่างไรดี

ศ.คลินิก ทพญ.ณัฏยา อัศววรฤทธิ์

ภาควิชาวิทยาระบบบดเคี้ยว

เป็นการทำงานนอกหน้าที่ของระบบบดเคี้ยวในขณะนอนหลับ ที่ทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวหดตัวผิดปกติ จึงเกิดการกัดฟัน จัดเป็นความผิดปกติของการนอนหลับอย่างหนึ่ง (Sleep disorders)

 

รู้ได้อย่างไรว่าเรานอนกัดฟัน

– ส่วนมากคนที่นอนด้วยเขาจะบอกเราได้ แต่บางทีหรือบางคนถ้ากัดฟันแบบกัดแน่น ไม่ไถฟันไปมา ก็ไม่ได้ยินเสียง
– อาจสังเกตตัวเองว่าตื่นนอนแล้วรู้สึกเมื่อยหรือเจ็บตึงที่บริเวณแก้ม หน้าหู หรือมีข้อต่อขากรรไกรขยับลำบาก ติดๆ ขัดๆ
– ถ้าให้ทันตแพทย์ตรวจจะพบมีฟันสึกผิดปกติ ไม่สมกับอายุ ดูบริเวณแก้มด้านในและที่ขอบลิ้น มีรอยหยักตามแนวสบฟันชัดเจน แต่ต้องดูประกอบกันหลายอย่าง และอาจใช้เครื่องมือที่ช่วยทดสอบว่านอนกัดฟัน

 

สาเหตุ

– ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด พบว่าอาจมีบางอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม ความเครียด วิตกกังวล
– การรับประทานยาที่ช่วยปรับสารในสมอง
– โรคบางอย่าง เช่น Parkinson ที่ทำให้กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ
– ความผิดปกติของการนอนหลับอื่นๆ (Sleep disorders)

 

กล้ามเนื้อ
ถ้าเป็นน้อยก็อาจมีอาการเมื่อยๆ บริเวณแก้ม หน้าหู ตอนตื่นนอน

 

ฟัน
ฟันสึก แตก หรือร้าว ซึ่งอาจถึงขั้นต้องถอน

 

ข้อต่อขากรรไกร
ถ้าเป็นมากอาจจะเจ็บจนอ้าปากไม่ออก ขยับขากรรไกรลำบากจนถึงขั้นข้อต่อขากรรไกรเสื่อม

 

วิธีการรักษา
เนื่องจากยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่ทำให้อาการนอนกัดฟันหายไป เราจึงต้องรักษาตามอาการและป้องกันการเสียหายที่จะเกิดขึ้น เช่น

 

ใส่เฝือกสบฟัน
– เพื่อป้องกันฟันสึก ฟันแตก ฟันหัก
– ช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรลดความเกร็ง ความตึง

 

ฝึกการผ่อนคลาย
เช่น การฟังเพลงเบาๆ การทำสมาธิ การออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย จะทำอย่างไรก็ได้ตามที่ชอบและสบายใจ แต่ไม่ใช่นั่งเล่นเกมส์ หรือใช้สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เป็นเวลานาน ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนเกร็ง ไม่ใช่การพักผ่อนที่แท้จริง

ภาพรังสี Cone Beam CT

MU DENT faculty of dentistry

ภาพรังสี Cone Beam CT

รศ.ดร.ทพญ.สุชยา ดำรงค์ศรี

ภาควิชารังสีวิทยาช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล

ภาพรังสี Cone Beam CT คืออะไร
ภาพรังสี Cone Beam CT ได้จากการถ่ายภาพรังสีส่วนตัดอาศัยคอมพิวเตอร์ลำรังสีรูปกรวย(Cone beam computed tomography, CBCT) มีการหมุนของรังสีเอกซ์รูปกรวยรอบศีรษะผู้ป่วย 1 รอบ และมีตัวรับภาพเป็นพื้นที่ (area detector) อยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับแหล่งกำเนิดรังสี แล้วใช้คอมพิวเตอร์ประมวลผลสร้างภาพให้เห็นเป็นชั้นบางๆ ของระนาบต่างๆ ที่สัมพันธ์กัน คือ ระนาบตามแกน (axial plane) ระนาบแบ่งหน้าหลัง (coronal plane) ระนาบแบ่งซ้ายขวา (sagittal plane) รวมทั้งสร้างเป็นภาพสามมิติ เครื่อง CBCT แต่ละเครื่องมีขนาดของบริเวณที่ถ่ายเป็นรูปทรงกระบอก (Field of view,FOV) และขนาดของจุดภาพสามมิติ (voxel size) ไม่เท่ากัน รวมทั้งซอฟแวร์ที่ใช้ดูภาพของแต่ละเครื่องก็ไม่เหมือนกัน ดังแสดงในตารางที่ 1 หากต้องการภาพรังสี CBCT ที่มีรายละเอียดสูง ควรเลือก FOV เล็กและ voxel size เล็ก เช่น ในงานเอ็นโดดอนต์ แต่ในกรณีที่ต้องการเห็นทั้งกระโหลกศีรษะใบหน้าและขากรรไกร เช่น ในการวางแผนผ่าตัดขากรรไกร ควรเลือกเครื่องที่สามารถถ่าย FOV ใหญ่ ได้

 

ประโยชน์ของภาพรังสี Cone Beam CT ในทางทันตกรรม
เพื่อประกอบการวางแผนการรักษาในงานทันตกรรมรากเทียม หาตำแหน่งและรูปร่างของฟันฝัง ฟันเกิน ฟันคุด และตำแหน่งหมายกายวิภาคที่สำคัญ ประเมินลักษณะข้อต่อขากรรไกร รูปร่างของคลองรากฟันที่ซับซ้อน แสดงให้เห็นพยาธิสภาพปลายรากขนาดเล็กที่ไม่เห็นจากภาพรังสีรอบปลายราก รอยหักของฟันและกระดูกใบหน้าขากรรไกร รวมทั้งรอยโรคต่างๆ ของกระดูกขากรรไกรใบหน้าขากรรไกร เป็นต้น

 

ข้อจำกัดของภาพรังสี Cone Beam CT

– ไม่สามารถแยกชนิดของเนื้อเยื่ออ่อน (soft tissues) ได้
– ไม่สามารถบอกค่า CT number ได้
– ราคาแพงกว่าการถ่ายภาพรังสีเทคนิคธรรมดา
– ปริมาณรังสีมากกว่าภาพรังสีทางทันตกรรมทั่วไป
– มีสิ่งแปลกปน (artifact) จากครอบฟันโลหะ วัสดุอุดอะมัลกัม รากเทียม ฟันเดือย วัสดุอุดคลองรากฟัน เป็นต้น

 

*** ส่งถ่ายภาพรังสี Cone Beam CT กรุณาโทรมานัดล่วงหน้า ***
คลินิกรังสีวิทยาช่องปากและใบหน้าจากรรไกร
ชั้น 3 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 50 พรรษา โทร. 02-200-7773, 02-200-7777 ต่อ 3341 – 5

เอ็กซเรย์ฟัน สำคัญหรือไม่

MU DENT faculty of dentistry

เอ็กซเรย์ฟัน สำคัญหรือไม่

อ.ทพญ.สุภัค งามสม

ภาควิชารังสีวิทยาช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล

ในการมาหาหมอฟันแต่ละครั้งจำเป็นด้วยหรือที่ต้องเอกซเรย์ฟัน
การมาพบทันตแพทย์แม้ว่าจะเป็นการมาตรวจฟันครั้งแรกหรือมาพบตามนัดนั้น แต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องเอกซเรย์ฟันทุกครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทันตแพทย์ผู้ให้การรักษาว่าสมควรต้องส่งเอกเรย์ฟันหรือไม่ โดยพิจารณาการตรวจในช่องปาก การซักประวัติภาพรังสีที่เคยมี การประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดฟันผุ (Caries risk assessment) และการประเมินสภาวะสุขภาพช่องปากและร่างกาย นำมาประกอบกันเพื่อพิจารณาความเหมาะสมหรือความจำเป็นในการส่งถ่ายเอกซเรย์ ซึ่งภาพเอกซเรย์ที่ใช้ในทางทันตกรรมนั้นมีหลายแบบ เช่น ภาพรังสีรอบปลายราก ภาพรังสีกัดปีก ภาพรังสีปริทัศน์และภาพรังสีกะโหลกศีรษะ เป็นต้น

 

กรณีใดบางที่จะต้องทำการถ่ายภาพเอกซเรย์ฟัน
ภาพเอกซเรย์เป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่มีส่วนช่วยทันตแพทย์ในการให้การวินิจฉัยโรค วางแผนการรักษาตลอดจนการติดตามผลการรักษา ภาพเอกซเรย์ฟันจึงมักใช้ประกอบการรักษาทางทันตกรรมต่างๆ เช่น

– การเอกซเรย์ฟันเพื่อถอนฟันหรือผ่าฟันคุด : ในงานถอนฟันและผ่าฟันคุดนั้น ภาพเอกซเรย์มีประโยชน์มาก ตั้งแต่ การวินิจฉัยโรคก่อนถอนฟัน การศึกษารายละเอียดของฟัน เช่น ความโค้งงอของรากฟัน ขนาดของรอยผุซึ่งจะส่งผลให้ฟันแตกได้ง่ายขณะถอนฟัน ลักษณะและตำแหน่งของฟันคุดว่าอยู่ใกล้กับกายวิภาคที่สำคัญหรือไม่ เช่น อยู่ใกล้กับโพรงอากาศแก้มเส้นประสาทขากรรไกรล่าง เป็นต้น และภาพรังสียังใช้ในการติดตามผลการถอนฟันในกรณีที่เกิดปัญหาหรือภาวะแทรกซ้อนหลังถอนฟัน เช่น รากฟันหัก แผลถอนฟันไม่หาย เป็นต้น

รูปที่ 1 ภาพรังสีรอบปลายรากบริเวณฟันกรามล่างซ้าย แสดงฟันคุดซึ่งมีลักษณะปลายรากฟันโค้งงอ (ศรชี้)

 

– การเอกซเรย์เพื่อตรวจดูรอยผขุองฟันด้านประชิด : รอยผุบริเวณด้านประชิดนั้น ตรวจพบได้ยากโดยเฉพาะรอยผุที่มีขนาดเล็กหรือรอยผุซ้ำใต้ขอบวัสดุ ภาพรังสีกัดปีกจึงมีประโยชน์และเป็นวิธีที่เหมาะสมในการตรวจหารอยผุด้านประชิดควบคู่ไปกับการตรวจในช่องปาก นอกจากนี้ภาพรังสีกัดปีกยังช่วยประเมินสุขอนามยช่องปากของผู้ป่วยอีกด้วย

รูปที่ 2 ภาพรังสีกัดปีก นิยมใช้ตรวจหารอยผุบริเวณด้านประชิด ซึ่งจะเห็นเป็นลักษณะเงา โปร่ง รังสีหรือเงาดำ (ศรสีเหลือง)
และยังช่วยประเมินสุขอนามัยช่องปากของผู้ป่วย จากภาพจะพบเงาทึบรังสีหรือเงาขาวของหินปูนที่บริเวณคอฟัน (ศรสีแดง)

 

– การเอกซเรย์ฟันเพื่อการรักษารากฟัน : ภาพเอกซเรย์ฟันมีบทบาทสำคัญในการรักษาคลองรากฟันโดยทันตแพทย์ผู้ทำการรักษาจะนำภาพรังสีไปใช้ประเมินว่าฟันซี่นั้นๆ สมควรได้รับการรักษาคลองรากฟันหรือไม่ รวมทั้งวางแผนจะทำการรักษาฟันซี่นั้นอย่างไร เมื่อผู้ป่วยถูกวินิจฉัยแล้วว่าจะต้องทำการรักษาคลองรากฟัน ในขั้นตอนหรือกระบวนการรักษาคลองรากฟันผู้ป่วยต้องรับการเอกซเรย์ฟันซี่เดิมหลายครั้ง เช่น ขั้นตอนการประเมินความยาวรากฟัน การลองแท่งวัสดุสำหรับอุดคลองรากฟัน ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะต้องมีความละเอียดแม่นยำเพื่อให้การรักษารากฟันเป็นไปอย่างสำเร็จ

รูปที่ 3 ภาพรังสีรอบปลายรากฟันบริเวณฟันตัดล่างซี่กลางซึ่งได้รับการรักษาคลองรากฟันแล้วจะเป็นเงาทึบรังสีของวัสดุคลองรากฟัน (ศรชี้)

 

หลังจากผู้ป่วยรักษารากฟันเสร็จรวมทั้งบูรณะฟันเพื่อให้ใช้บดเคี้ยวได้เหมือนเดิมแล้วจะต้องมีการเอกซเรย์ฟันเป็นระยะอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อติดตามผลการรักษาด้วย

– การเอกเรย์ฟันเพื่อการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ : โรคปริทันต์อักเสบนั้นเกิดได้ทั้งในวัยรุ่น ผู้ใหญ่หรือผู้สูงวัยซึ่งมีสาเหตุจากคราบจุลินทรีย์ที่เกาะบริเวณรอบตัวฟัน ระยะแรกจะส่งผลให้เหงือกอักเสบ สังเกตได้จากการมีเลือดออกขณะแปรงฟันหรือเหงือกบวมแดง เป็นต้น ซึ่งในระยะแรกนี้จะยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในภาพรังสี เมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจนกลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบ จะพบร่องลึกปริทันต์และการละลายของกระดูกที่หุ้มรอบรากฟันซงจะปรากฏในภาพรังสีภาพรังสีจึงมีประโยชน์ในการประเมินความรุนแรงของโรคและบอกการทำลายกระดูกในลักษณะต่างๆ รวมถึงระดับของกระดูกที่หุ้มรอบรากฟันและใช้ในการติดตามผลการรักษา

รูปที่ 4 ภาพรังสีรอบปลายรากฟันบริเวณฟันเขี้ยวล่างซ้าย แสดงลักษณะการทำลายกระดูกที่หุ้มรอบรากฟันในแนวตั้ง (ศรชี้)

 

– การเอกซเรย์ฟันเพื่อการจัดฟัน : ในงานทันตกรรมจัดฟันนั้น ทันตแพทย์ต้องรวบรวมข้อมูลจากทั้งการตรวจภายในช่องปากและภายนอกช่องปากแบบจำลองฟัน รวมถึงภาพรังสีเพื่อนำมาประกอบการวินิจฉยและวางแผนการรักษา ภาพรังสีสามารถบอกลักษณะของฟัน กระดูกขากรรไกร กะโหลกศีรษะและใบหน้า ซึ่งทันตแพทย์จะนำภาพรังสีเหล่านี้จะมาวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อหาความสัมพันธ์ของส่วนต่างๆ ที่ไม่สามารถพิจารณาได้จากการตรวจด้วยสายตาแต่เพียงภายนอก

รูปที่ 5 ภาพรังสีกระโหลกศีรษะด้านข้างซึ่งทันตแพทย์จะนำมาวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างฟัน กระดูกขากรรไกร
และกระโหลกศีรษะ ซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อการรักษาทางทันตกรรมจัดฟัน

 

ระหว่างที่ทำการเอกซเรย์ฟันนั้นจะต้องเตรียมตัวอย่างไร
ในระหว่างที่ทำการเอกซเรย์ในช่องปาก ผู้ป่วยต้องถอดโลหะบริเวณใบหน้าและภายในช่องปาก เช่น แว่นตา เครื่องมือถอดได้ในช่องปาก อาทิ ฟันเทียมถอดได้ เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ เครื่องมือคงสภาพฟัน เป็นต้น หากเป็นการเอกซเรย์นอกช่องปากผู้ป่วยต้องถอดสร้อยคอ ต่างหู กิ๊บติดผมออก เพื่อไม่ให้สิ่งเหล่านั้นมาบดบังลักษณะของกระดูกและฟันขณะทำการเอกซเรย์ผู้ป่วยต้องอยู่นิ่งที่สุดจนกว่าเสียงสัณญาณของเครื่องเอกซเรย์จะหยุด

 

รังสีที่ใช้ในการเอกซเรย์ฟันนั้นมีอันตรายหรือไม่

รังสีที่ใช้ในการเอกซเรย์ฟัน คือ รังสีเอกซ์ (X-ray) ซึ่งเป็นรังสีชนิดเดียวกับการเอกซเรย์ทางการแพทย์ ส่วนปริมาณรังสีที่ใช้ในการเอกซเรย์ฟันนั้นค่อนข้างน้อยมาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับปริมาณรังสีทใช้เอกซเรย์เพื่อวินิจฉัยในทางการแพทย์ อย่างไรก็ตามควรเอกซเรย์ฟันเท่าที่จำเป็นตามที่ทันตแพทย์วินิจฉัยว่าสมควรและเมื่อผู้ป่วยมารับการเอกซเรย์ฟันเจ้าหน้าที่จะต้องสวมเสื้อและปลอกคอกันรังสีให้กับผู้ป่วยทุกครั้ง

 

อย่างไรก็ดีผู้ป่วยสามารถดูแลสุขภาพช่องปากอย่างง่ายด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งให้สะอาดร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำทุกวันและควรมารับการตรวจฟันเป็นประจำทุก 6 เดือน – 1 ปี

พฤติกรรมไม่พึงประสงค์สุขภาพช่องปากในวัยเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

พฤติกรรมไม่พึงประสงค์สุขภาพช่องปากในวัยเด็ก

ระเบียบการคลินิกทันตกรรมเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

ระเบียบการคลินิกทันตกรรมเด็ก

ฟันน้ำนมผุ

MU DENT faculty of dentistry

ฟันน้ำนมผุ

ผศ. ทพญ.วรณัน ประพันธ์ศิลป์

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

ฟันน้ำนมผุเกิดจากอะไร ?
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฟันน้ำนมผุ มาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว การปล่อยให้เด็กนอนหลับคาขวดนม ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในนม สามารถเข้าไปทำลายเคลือบฟันของเด็กได้ เพราะคราบจุลินทรีย์จะย่อยน้ำตาลในนมที่ค้างอยู่บนผิวฟัน ทำให้เกิดการสะสมของกรด ละลายผิวฟันเป็นรู นอกจากเรื่องขวดนมแล้ว ปัญหาฟันน้ำนมผุ ยังอาจเกิดได้จากโครงสร้างของฟันเด็กที่ไม่สมบูรณ์ อาจเป็นเพราะคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย แม่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กยุคนี้ฟันผุง่ายก็คือ การรับประทานขนมตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันนั่นเอง อีกทั้งผู้ปกครองหลายคนมักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการรับประทานขนมและการแปรงฟันของลูกมากนัก และลูกก็ยังไม่สามารถทำความสะอาดฟันอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ฟันผุได้ง่ายนั่นเอง

 

รู้จัก 3 ระยะ ของโรคฟันผุ
1. ฟันผุในระยะแรก จะพบลักษณะรอยโรคขุ่นขาวบริเวณเคลือบฟันหรือหลุมร่องฟัน ซึ่งจะยังไม่แสดงอาการ

 

2. ฟันผุที่ชั้นเคลือบฟันและเนื้อฟัน จะมีการแตกหักของเนื้อฟันจนเกิดรอยผุเป็นรูบนตัวฟัน เด็กจะเริ่มมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน เวลาเศษอาหารติด

 

3. ฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน จะมีอาการปวดฟัน ประสาทฟันอักเสบร่วมกับการอักเสบของเหงือกและอวัยวะรอบๆ ฟัน

 

ฟันน้ำนมผุได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?
ปัญหาฟันน้ำนมผุหรือฟันผุในวัยเด็ก สามารถเกิดได้ตั้งแต่เด็กมีฟันขึ้นในช่องปาก ซึ่งก็คืออายุประมาณ 6 เดือน เนื่องจากชั้นเคลือบฟันน้ำนมหนาประมาณครึ่งหนึ่งของฟันแท้เท่านั้น ทำให้ฟันน้ำนมผุได้ง่ายกว่ามาก และยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบน้อยกว่าอีก โดยฟันน้ำนมซี่หน้าบนจะผุได้ง่ายกว่าฟันหน้าล่าง รวมทั้งอีกจุดที่ผุง่ายก็คือ ฟันกรามด้านบดเคี้ยว เพราะเป็นซี่ใน ขนมหวานมักติดค้างอยู่ในร่องฟัน จึงทำความสะอาดได้ยากนั่นเอง

 

การรักษาฟันน้ำนมผุ
หากลูกมีฟันผุระยะแรกเริ่ม คุณหมอจะให้คำแนะนำในการรับประทานอาหารและการทำความสะอาดหรือเคลือบหลุมร่องฟัน คุณหมอจะทำการอุดฟันหรือครอบฟันในฟันที่ผุถึงชั้นเนื้อฟัน แต่หากฟันผุทะลุเข้าไปถึงโพรงประสาทฟัน คุณหมอจะต้องรักษาด้วยการรักษารากฟัน หรือถอนฟันแทน แต่สำหรับกรณีที่ฟันผุยังไม่ได้ทำลายรากฟันและกระดูกเบ้าฟันไปมาก คุณหมอจะแนะนำให้เก็บรักษาฟันน้ำนมไว้ใช้งาน รอจนฟันแท้จะขึ้นมาแทนที่ การอุดฟันที่ผุลึกมาก การถอนฟัน หรือการรักษารากฟัน คุณหมอจะใช้ยาชา เพื่อไม่ให้เด็กๆ รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

 

วิธีป้องกันไม่ให้ฟันน้ำนมผุ
– ฝึกให้เด็กทารกเข้านอนโดยไม่มีนิสัยติดขวดนม
– สอนให้เด็กใช้แก้วน้ำแทนขวดนมและฝึกดูดจากหลอด ตั้งแต่อายุ 6 – 12 เดือน และควรเลิกใช้ขวดนม เมื่ออายุ 1 ปี ไปแล้ว
– ฝึกนิสัยไม่ให้ลูกทานขนมจุบจิบ อาหารรสหวาน เพราะเป็นสาเหตุของฟันผุ หากลูกอยากรับประทานให้รับประทานในมื้ออาหาร
– เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ไม่เติมน้ำตาลและไม่ทำให้ฟันผุ เช่น นมจืด ผลไม้ แซนวิสทูน่า ปลาเส้น เป็นต้น
– ให้ลูกบ้วนปากหลังดื่มนม รับประทานขนม หรือหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง
– แปรงฟันให้ลูกด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง เวลาเช้า – ก่อนนอน
– เมื่อลูกอายุ 4 ขวบ ฝึกให้ลูกแปรงฟันอย่างถูกวิธี และช่วยแปรงซ้ำเป็นประจำ
– พาลูกไปพบทันตแพทย์ เมื่ออายุ 1 ปี และตรวจฟันเป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อจะได้รับความรู้และแนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพในช่องปากอย่างถูกต้อง

ลูกรักกลัวหมอฟัน

MU DENT faculty of dentistry

ลูกรักกลัวหมอฟัน

อ.ทพญ.ชุติมา อมรพิพิธกุล

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

ลูกรักกลัวหมอ จะทําอย่างไรดี

ความกลัวเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัยโดยเฉพาะในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นกลัวความเจ็บปวด กลัวคนแปลกหน้า ความกลัวกับสถานการณ์ ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยประสบมาก่อน เป็นต้น

ซึ่งสาเหตุของความกลัวนั้นบางครั้งยากที่จะอธิบาย แต่ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เด็กเกิดความกลัวต่อหมอฟันหรือการรักษาทางทันตกรรมได้ เช่น ประสบการณ์การพบแพทย์ในอดีต โดยเฉพาะเด็กที่เจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อยๆ ก็อาจจะกลัวคนที่ใส่ชุดฟอร์มสีขาว หรือการที่เด็กได้ฟังคําบอกเล่าเรื่องประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อการรักษาทางทันตกรรม ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อน ญาติพี่น้อง และสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่อาจคาดไม่ถึงก็คือความกลัวต่อการรักษาทางทันตกรรมของตัวคุณพ่อ คุณแม่เอง ซึ่งลูกอาจจะรับรู้ได้จากพฤติกรรมบางอย่าง หรือจากสีหน้าที่มีความกังวลที่พ่อแม่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น

 

ก่อนจะพาลูกมาทําฟัน พ่อแม่มีวิธีเตรียมตัวลูก ของตนเองอย่างไรบ้าง

การเตรียมตัวเด็กที่ดีนั้นมีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมของเด็กและความสําเร็จในการรักษาทางทันตกรรม จากที่ กล่าวข้างต้นเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลให้เด็กเกิดความกลัวต่อการทําฟัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงคําพูดที่น่ากลัวหรือแสดงความกังวลต่อการทําฟันให้ลูกเห็น ไม่ควรใช่หมอฟันหรือการทําฟันเป็นเครื่องมือในการขู่ลูก เช่น “ถ้าไม่ยอมแปรงฟันนะ จะจับไปให้หมอถอนฟันเลย” ซึ่งจะยิ่งทําให้ลูกฝั่งใจและกลัวหมอฟันมากขึ้น ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยส่งเสริมทัศนคติในทางบวกต่อการทําฟันให้แก่ลูก เช่น “คุณหมอจะช่วยให้หนูมีฟันสวยและแข็งแรง” นอกจากนี้เมื่อพบว่าลูกมีฟันผุก็ควรพาลูกมาทําฟันตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีอาการปวด หากรอให้มีอาการปวดก่อนเด็กจะยิ่งมีความกังวลในการทําฟันมากขึ้น

 

เมื่อมาหาหมอฟันแล้ว หากลูกกลัวหมอฟัน ไม่ให้ความร่วมมือ ผู้ปกครองและทันตแพทย์ ควรทําอย่างไร

เด็กแต่ละคนที่มีความกลัวก็จะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป เด็กที่มีความกลัวและไม่ให้ความร่วมมือ จําเป็นอย่างยิ่งที่ทันตแพทย์จะต้องวิเคราะห์หาสาเหตุของความกลัวของเด็ก เพื่อใช่เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาเลือกใช้วิธีการจัดการพฤติกรรม

      
 
 

ซึ่งคุณพ่อคุณแม้จะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการให้ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ หลังจากนี้ก็จะเป็นหน่าที่ของ ทันตแพทย์ที่จะเลือกใช้วิธีปรับพฤติกรรมต่างๆ เพื่อให้เด็กให้ลดความกลัว ความกังวล และยอมให้ความร่วมมือในการทําฟัน โดยวิธีที่ใช้มากที่สุดก็คือ การปรับพฤติกรรมโดยวิธีทางจิตวิทยาไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย ปลอบโยน ชมเชย ส่งเสริมให้กําลังใจ การเบี่ยงเบน ความสนใจ หรือการแยกผู้ปกครอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่อายุของเด็ก ระดับของความร่วมมือ และปริมาณงานหรือ ความเร่งด่วนของการรักษาด้วย เช่น ในเด็กเล็กตํ่ากว่า ๓ ขวบ ที่ยังพูดคุยสื่อสารกันไม่เข้าใจ หรือเด็กที่ไม่ให้ ความร่วมมืออย่างมาก ทันตแพทย์ก็อาจจะจําเป็นต้องขออนุญาตใช้ผ้าห่อตัวเด็ก (Papoose board) ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของเด็กเพื่อให้สามารถให่การรักษาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจจะนําเสนอทางเลือกการรักษาทางทันตกรรมภายใต้การทานยาให้สงบหรือการดมสลบให้แก่ผู้ปกครองเป็นผู้ตัดสินใจ

 

ตามปกติแล้วผู้ปกครองควรเข้าไปกับลูกขณะทําการรักษาทางทันตกรรมหรือไม่

ในปัจจุบันทันตแพทย์มักจะให้อิสระแก่ผู้ปกครองว่าจะอยู่กับลูกในห้องทําฟันหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่ผู้ปกครองควรปฏิบัติเมื่ออยู่ในห้องทําฟันกับลูกก็คือการอยู่เป็นเพื่อนและให้กําลังใจแบบเงียบๆ ไม่แสดงสีหน้าหวาดกลัวขณะที่หมอฟัน กําลังใหัการรักษา หรือพูดแทรกระหว่างที่หมอฟันกําลังพูดคุยกับเด็ก เนื่องจากจะทําให้เด็กสับสนว่าจะฟังใครดี ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะออกจากห้องทําฟันเมื่อคุณหมอรัองขอ ซึ่งการแยกผูัปกครอง (Parental absence) เป็นวิธีการจัดการ พฤติกรรมทางจิตวิทยาวิธีหนึ่ง ที่ทันตแพทย์จะใช้กับเด็กที่ร้องไห้โวยวาย ไม่ให้ความร่วมมือ และมีอายุมากกว่า ๓ ขวบ เนื่องจากเป็นวัยที่สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้เข้าใจแล้ว โดยจะต่อรองกับเด็กว่า “เมื่อหนูหยุดร้องไห้โวยวาย คุณหมอจะให้คุณแม่กลับเข้ามา” ซึ่งวิธีการนี้ เป็นวิธีการจัดการพฤติกรรมวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีเลยทีเดียว

สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทําให้ลูกน้อยไม่กลัวหมอฟันก็คือการดูแลสุขภาพช่องปากของลูกให้ดี ไม่ให้มีฟันผุ โดยควรพาลูกมาพบหมอฟันตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้นหรือภายในขวบปีแรก และตรวจฟันอย่างสมํ่าเสมอทุกๆ ๖ เดือน เมื่อลูกไม่มีฟันผุ เวลาทําฟันก็ไม่เจ็บ เมื่อไม่เจ็บก็มักจะไม่กลัวหมอฟัน แต่เมื่อลูกมีฟันผุแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเข้มแข็งที่จะพาลูกมารับการรักษาตามนัดอย่างสมํ่าเสมอ ถึงแม้ว่าลูกจะร้องไห้ตั้งแต่อยู่ที่บ้านเมื่อรู้ว่าจะพามาทําฟันก็ตาม เพื่อให้ลูกของคุณมีสุขภาพช่องปากที่ดี ซึ่งเมื่อมีสุขภาพช่องปากที่ดีแล้วก็จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการในด้านอื่นๆ ที่ดีตามไปด้วย