Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors

โรคเหงือกอักเสบ

MU DENT faculty of dentistry

โรคเหงือกอักเสบ

รศ.ทพ.ยสวิมล คูผาสุข

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

โรคเหงือกอักเสบคืออะไรและเราจะรู้ได้อย่างไร ? ว่าเราเป็นโรคเหงือกอักเสบ

โรคเหงือกอักเสบตามคําจํากัดความก็คือมีอาการอักเสบของเหงือก ลักษณะอาการทั่วไปที่ผู้ป่วยมักจะมาปรึกษาก็คือเรื่องของการที่มีขอบเหงือกแดง มีเลือดออกหลังจากแปรงฟัน บางครั้งก็จะมีเศษอาหารติดตามซอกฟัน เคี้ยวอาหารแล้วก็มีอาการเจ็บได้เหมือนกัน

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเหงือกอักเสบ

สาเหตุโดยทั่วไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่คิดว่า การมีหินนํ้าลายหรือมีหินปูนอยู่ในปาก เป็นตัวทําให้เกิดการอักเสบของเหงือกแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ สาเหตุหลักจริงๆ ก็คือ คราบอาหารหรือเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ตามขอบเหงือกและซอกฟัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยส่งเสริมใหัโรคมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น การสูบบุหรี่ ผู้หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมากมาย หรือแม้แต่คนที่เป็นโรคเบาหวานแล้วควบคุมระดับนํ้าตาลไม่ได้ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ส่งเสริมให้ร่างกายมีความอ่อนแอลงก็จะทําให้การอักเสบของเหงือกมากขึ้น

การรักษาและการป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ควรทําอย่างไร

การรักษาโรคทุกชนิดจําเป็นต้องกําจัดสาเหตุออกไป เพราะฉะนั้นสาเหตุหลักของโรคเหงือกอักเสบ คือ เชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ตามขอบเหงือกและซอกฟัน การรักษาคือต้องกําจัดสาเหตุเหล่านี้ออกไป โดยการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันแต่แค่นั้นยังไม่พอ เราจําเป็นจะต้องมีการแปรงฟันทําความสะอาดฟัน เนื่องจากสาเหตุของโรคจะมาทุกวันหลังจากที่เราไปทานอาหารก็จะมีสาเหตุใหม่กลับมา มีการอักเสบใหม่ตลอดเวลาเพราะลําพังแค่บอกว่าไปหาหมอ แล้วให้หมอขูดหินนํ้าลาย อันนั้นไม่ใช่การรักษาแต่เป็นแค่การทําความสะอาดฟัน

 

ผู้ป่วยเองจําเป็นจะต้องมีการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด สมํ่าเสมอ ด้วยการแปรงฟันและใช่ไหมขัดฟัน อย่างถูกวิธีเพื่อกําจัดสาเหตุใหม่ที่กลับมาทุกวันและที่สําคัญที่สุดคือจําเป็นจะต้องไปพบทันตแพทย์ทุกๆ ๖ เดือน เพื่อให้คุณหมอได้ตรวจดูว่าเราแปรงฟันได้สะอาดเพียงพอหรือไม่ มีการอักเสบของเหงือกใหม่หรือเปล่า ก็อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองให้มากขึ้น

โรคของเนื้อเยื่ออ่อน

MU DENT faculty of dentistry

โรคของเนื้อเยื่ออ่อน

รศ.ทพญ.สุพานี ธนาคุณ

อ.ทพญ.คุนันยา พิมลบุตร

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

โรคของเนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่ในช่องปาก
ในช่องปากนอกจากโรคฟันผุและโรคปริทันต์ที่ทุกท่านคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ยังสามารถพบโรคหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้กับเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เช่น กระพุ้งแก่ม ริมฝีปาก ลิ้น เพดาน ฯลฯ

 

โรคของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากที่พบได้บ่อยและสาเหตุ
โรคของเนื้อเยื่ออ่อนที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป เช่น แผลแอฟทัสหรือแผลร้อนใน ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่กระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในในช่องปากได้ เช่น ความเครียดการเปลี่ยนแปลง ฮอร์โมนในร่างกาย ส่วนประกอบบางอย่างในอาหาร เช่น สารกันบูด สารแต่งกลิ่น สี รส การขาดเหล็ก โฟเลท หรือวิตามินบี ๑๒ ฯลฯ

 

นอกจากนี้อาจพบรอยโรคจากการระคายเคืองเรื้อรัง การระคายเคืองจากยาหรือสารเคมี เช่น ยาแก้ปวด นํ้ายาบ้วนปาก ยาสีฟัน ลิปสติก ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการปวดฟัน อาจนํายาแกัปวดไปวางไวัที่ร่องกระพุ้งแก้ม ใกล้กับ ตําแหน่งฟันที่ปวด ยาแก้ปวดจะไประคายเคืองเนื้อเยื่ออ้อนบริเวณนั้นเกิดเป็นแผลได้ หรือผู้ป่วยบางรายเปลี่ยนยาสีฟัน หรือลิปสติกใหม่ๆ อาจทําให้เกิดอาการแพ้ หรือการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้

การติดเชื้อในช่องปาก เช่น การติดเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งรอยโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันบางชนิด ทําให้มีความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากได้ เช่น ไลเคนแพลนัส เพมฟิกัส เพมฟิกอยด์ ฯลฯ อีกทั้งหลังการรักษามะเร็งด้วยเคมีบําบัด หรือรังสีรักษา สามารถทําให้เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากเกิดความผิดปกติได้ เช่นกัน

การใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ตลอดเวลาแม้ในช่วงเวลานอนตอนกลางคืน ร่วมกับการดูแลทําความสะอาดฟันเทียมที่ไม่ดี อาจทําใหัเพดานที่ฟันเทียมทับอยู่มีการอักเสบได้ และสุดท้าย คือ อาการปากแห้ง เนื่องจากผลข้างเคียงของยารักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ยาคลายกังวล ยาต้านอาการซึมเศร้า ฯลฯ ยาเหล่านี้ล้วนมีผลข้างเคียง ทําให้เกิดอาการปากแห้ง และทําให้มีความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนตามมาได้ง่าย ซึ่งความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นบางชนิดที่กล่าวมานี้ ถ้าทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษาอาจทําให้รอยโรคมีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้

ลักษณะความผิดปกติและอาการ
โดยปกติเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากจะมีพื้นผิวเรียบสีชมพู ถ้ามีความผิดปกติหรือเกิดโรคเหล่านี้ขึ้น จะทําให้เนื้อเยื่อเหล่านี้มีรอยถลอกหรือกลายเป็นแผล นอกจากนี้โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือการติดเชื้อรา จะทําให้เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากบางลง ความผิดปกติเหล่านี้ทําให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดหรือแสบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลารับประทานอาหารรสจัด นอกจากนี้ความผิดปกติบางอย่าง อาจทําให้เนื้อเยื่อหนาตัวหรือบวมโตขึ้นมา ซึ่งผู้ป่วยรู้สึกถึงความผิดปกติได้โดยง่าย

 

วิธีการดูแลรักษา
เมื่อผู้ป่วยมีความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก ผู้ป่วยควรดูแลความสะอาดในช่องปาก ซึ่งเป็นสิ่งจํา เป็นและสําคัญที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซํ้าไปที่แผลหรือความผิดปกตินั้น อาจต้องเปลี่ยนยาสีฟันเป็น ยาสีฟันที่ไม่ทําให้ผู้ป่วยรู้สึกแสบยิ่งขึ้น ใช่ไหมขัดฟันทําความสะอาดฟัน ไม่แนะนําให้ใช้นํ้ายาบ้วนปากใดๆ เพราะอาจทําให้ผู้ป่วยเจ็บแสบยิ่งขึ้น แนะนําให้พบทันตแพทย์หรือทันตแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ช่องปาก เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละโรค ซึ่งมีได้ตั้งแต่กําจัดสาเหตุ การให้ยาทาเฉพาะที่หรือยารับประทานเพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค

 

วิธีป้องกันและปฏิบัติตน
การดูแลสุขภาพร่างกายโดยทั่วไป โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ ๕ หมู่ การออกกําลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การงดสูบบุหรี่ การใช้ยาเส้นยาสูบ หมาก นํ้ายาบ้วนปาก ต่างๆ มีผลต่อสุขภาพที่ดีของเนื้อเยื่อในช่องปากร่วมกับการดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีอยู่เสมอไม่ให้มีฟันผุหรือเหงือกอักเสบ โดยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน ถ้าใส่ฟันเทียมชนิดถอดไดัตัองลัางทําความสะอาดฟันเทียมและถอดแช่นํ้าไวัโดยไม่ใส่ฟันช่วงเวลานอนหลับ เหล่านี้จะช่วยให้เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากมีความแข็งแรง ลดโอกาสเกิดความรุนแรงหรือความผิดปกติดังที่กล่าวมาแล้ว

 

เมื่อท่านรู้สึกมีความผิดปกติในช่องปาก มีอาการเจ็บปวดหรือแสบร้อน มีแผลเรื้อรังในช่องปาก แนะนําให้ท่านไปพบทันตแพทย์หรือทันตแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ช่องปาก เพื่อตรวจดูความผิดปกตินั้น และรับการรักษาที่เหมาะสมเพราะการมีแผลเรื้อรังในช่องปากอาจมีโอกาสเกิดมะเร็งช่องปากได้ ไม่แนะนําให้ผู้ป่วยซื้อยามาทาเอง เพราะความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก มิได้เป็นแผลร้อนในชนิดเดียว อาจเป็นโรคหรือความผิดปกติอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

การดูแลสุขภาพช่องปากหญิงตั้งครรภ์

การดูแลสุขภาพช่องปากหญิงตั้งครรภ์

เมื่ออายุครรภ์ 4 – 6 เดือน 
ควรไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันและทำความสะอาดช่องปาก ไม่ควรรอจนกระทั่งมีอาการ

 

แปรงฟันให้สะอาด 
อย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ นาน 2 นาที ร่วมกับการทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน

 

หลังอาเจียนจากการแพ้ท้องหรือทานอาหารเปรี้ยว 
ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทุกครั้ง

 

หลีกเลี่ยง 
การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน นมเปรี้ยว

 

เมื่อสุขภาพช่องปากไม่ดีขณะตั้งครรภ์จะส่งผลต่อลูกอย่างไร

 

ภาวะโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์อักเสบ

เกิดจากการดูแลทำความสะอาดช่องปากไม่เพียงพอ อาจจะทำให้เกิดภาวะ “คลอดก่อนกำหนด” หรือ “น้ำหนักตัวแรกคลอดต่ำกว่าเกณฑ์” ได้ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาต่อลูกน้อยตามมา เช่น มีอัตราการเสียชีวิตแรกคลอดและอัตราการเจ็บป่วยสูง มีโอกาสที่ทารกจะมีความผิดปกติแต่กำเนิด ได้แก่ ความผิดปกติของระบบหายใจ สมอง และพัฒนาการ

 

การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง

– มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีโอกาสเป็นเบาหวานในอนาคตและมีภาวะแทรกซ้อนทั้งขณะตั้งครรภ์และจากการคลอด เช่น ครรภ์เป็นพิษ รกลอกตัวก่อนกำหนด
– ลูกมีโอกาสน้ำหนักแรกคลอดมากและภาวะหายใจเร็วในทารกแรกคลอดได้

ผศ.ทพญ. กันยวัชร์ รัตนสุวรรณ

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

ครอบฟันและสะพานฟัน

ครอบฟันและสะพานฟัน

การทำครอบฟัน (Crown)

เป็นการบูรณะฟันโดยการใช้วัสดุทั้งซี่เพื่อทำให้ฟันซี่นั้นแข็งแรงขึ้น หรือตกแต่งรูปทรงให้ฟันสวยงามหรือเป็นระเบียบมากขึ้น

 

เมื่อใดจึงจะทำครอบฟัน

ข้อดีของครอบฟัน

– เพื่อบูรณะให้ฟันกลับมามีรูปร่างเหมือนเดิม
– สามารถปรับแต่งรูปร่างและการเรียงตัวของฟันได้
– ในฟันมีความผิดปกติ โครงสร้างฟันอ่อนแอ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ฟันได้

 

การทำสะพานฟัน (Bridge)

เป็นการทดแทนฟันที่สูญเสียไป ด้วยการยึดซี่ฟันปลอมเข้ากับฟันซี่ข้างเคียงอย่างถาวร (ถอดออกมาล้างไม่ได้) อย่างไรก็ดี ฟันซี่ข้างเคียงจะถูกกรอเพื่อเตรียมเป็นหลักของสะพานฟัน

 

เมื่อใดจึงจะทำสะพานฟัน
ช่องฟันที่หายไปเป็นช่องขนาดเล็ก (ขนาดประมาณ 1-2 ซี่) โดยมีฟันที่จะใช้เป็นฟันหลักยึดสะพานฟัน 2 ซี่ อยู่ข้างๆ ช่องฟันที่หายไป

 

 

ข้อดีของสะพานฟัน

– สามารถทดแทนฟันซี่ที่สูญเสียไป ช่วยป้องกันการล้มของฟันซี่ข้างเคียง หรือการงอกของฟันคู่สบมายังช่องว่างระหว่างฟัน
– สะพานฟันสามารถออกแบบให้ดูเป็นธรรมชาติ คล้ายคลึงกับฟันตามธรรมชาติของผู้ป่วย ไว้ทดแทนช่องว่างจากการสูญเสียฟัน เพิ่มความสวยงามอีกด้วย

การดูแลรักษาครอบฟันและสะพานฟัน

 

– การแปรงฟัน

ควรแปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง โดยแปรงบริเวณผิวด้านบน และด้านข้างของฟัน เหมือนกับการแปรงฟันทั่วไป บางกรณีควรใช้แปรงซอกฟันทำความสะอาดบริเวณช่องว่างระหว่างฟันร่วมด้วยเพื่อความสะอาดยิ่งขึ้น

 

– การใช้ไหมขัดฟัน

ควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟันและใต้สะพานฟันเพื่อกำจัดเศษอาหารและแบคทีเรียบริเวณซอกฟัน อย่างน้อยวันละครั้ง


– การพบทันตแพทย์

ควรพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน หรือ ปีละ 2 ครั้ง

 

“เมื่อได้เห็นรอยยิ้มสะพานฟัน ไม่เปลี่ยนผันจากฟันจริงมากเท่าไหร่ ยิ้มสวยได้ทุกวันไม่อายใคร เพราะนี่ไงยิ้มสวยด้วยสะพานฟัน”

รศ.ดร.ทพ. ชูชัย อนันต์มานะ

ภาควิชาทันตกรรมประดิษฐ์

การเตรียมลูกไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก

การเตรียมลูกไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก

เด็กส่วนใหญ่เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก มักจะมีความกลัวและวิตกกังวลในการรักษา คุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมตัวลูกเพื่อไปพบทันตแพทย์ได้หลายวิธี ได้แก่

 

1. เล่านิทานเกี่ยวกับการทำฟันและดูวิดีโอเกี่ยวกับการทำฟัน คุณพ่อคุณแม่อาจเล่านิทานที่เกี่ยวข้องกับการทำฟันของเด็ก เช่น นิทานเรื่องลูกหมูมาทำฟัน เพื่อเสริมความเข้าใจบทบาทของทันตแพทย์ หรือ ดูวิดีโอให้ความรู้ว่าในวันแรกทันตแพทย์จะทำอะไร ซึ่งมักเป็นงานง่ายๆ เช่น การตรวจฟัน ทำให้เด็กมีความคุ้นเคยกับการทำฟัน

 

2. เล่นบทบาทสมมติ เตรียมตัวก่อนเจอสถานการณ์จริง คุณพ่อคุณแม่เล่นเป็นทันตแพทย์ ให้ลูกเล่นเป็นคนไข้ หรือกลับบทบาทกัน ซักซ้อมก่อนว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างในการมาตรวจฟันครั้งแรก เล่าสถานการณ์ที่ลูกจะต้องเจอ พอมาพบทันตแพทย์จริงลูกจะเข้าใจว่ากำลังทำอะไรและเขาควรทำตัวอย่างไร จะช่วยลดความกลัวได้

 

3. ให้ดูตัวอย่างที่ดี พาลูกไปพบทันตแพทย์พร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ หรือพี่ที่เคยทำฟันแล้วร่วมมือดี ให้ลูกดูตัวอย่างว่าทำฟันอย่างไร โดยวันที่เลือกไปดูนั้น ควรเป็นการรักษาที่ง่ายๆ เช่น ตรวจฟัน เพื่อให้เกิดการเลียนแบบตัวอย่างที่ดี

 

4. บอกความจริง อย่าโกหกลูก อย่าโกหกหลอกลวงลูก ให้พูดตามความจริง อย่าหลอกว่าจะพาไปที่อื่น แต่จริงๆ พามาทำฟันจะทำให้ลูกต่อต้านมากขึ้น

 

5. สร้างทัศนคติที่ดีต่อการไปพบทันตแพทย์ ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันตั้งแต่ยังไม่มีฟันผุ หรืออาการเจ็บปวด ย่อมได้รับความร่วมมือและความทรงจำที่ดีกว่า เพราะการไปตรวจฟันเป็นประจำ ลูกจะมีฟันที่ต้องอุดน้อยกว่า หากลูกมาพบทันตแพทย์ครั้งแรกตอนที่ปวดฟันมา หรือมีฟันผุมากๆ การรักษาจะยุ่งยากซับซ้อน และใช้เวลาการรักษานาน จะทำให้เด็กมีความทรงจำที่ไม่ดีต่อการทำฟันและฝังใจได้ ต่อไปเด็กก็จะไม่ให้ความร่วมมือในการทำฟัน

 

6. อย่าขู่ลูกจนกลัวการมาพบทันตแพทย์ หลีกเลี่ยงการใช้คำที่น่ากลัว (เช่น ฉีดยา ถอนฟัน เจ็บ) หรือใช้ทันตแพทย์มาขู่ลูก ให้ใช้คำอื่นแทน แต่ทำให้ทันตแพทย์เป็นเหมือนฮีโร่ที่จะมาช่วยให้ฟันของลูกดี ไม่ใช่ให้ทันตแพทย์เป็นผู้ร้ายที่จะมาทำให้ลูกเจ็บ อาจตั้งบทบาทของทันตแพทย์เป็นเพื่อนที่จะมาคอยแนะนำให้ลูกแปรงฟัน หรือเป็นคุณครูที่จะมาสอนให้ลูกแปรงฟันให้เก่ง

 

7. ให้ลูกคุ้นเคยกับการแปรงฟัน การแปรงฟันให้ลูกทุกวัน จะสร้างความคุ้นเคยกับการตรวจในช่องปาก โดยอาจให้ซ้อมอ้าปากกว้างค้างไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ดูฟัน พอลูกมาทำฟันจริงก็จะยอมอ้าปากให้ตรวจฟันได้ง่าย

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook page : มหิดลรักฟันน้ำนม

อ.ทพญ.อภิชญา มโนเพ็ชรเกษม

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

ขากรรไกรค้างทำอย่างไรดี ?

ขากรรไกรค้างทำอย่างไรดี ?

ขากรรไกรค้างเป็นอย่างไร

 

คนทั่วไปมักใช้คำว่าอ้าปากค้างหรือกรามค้างเพื่ออธิบาย 2 อาการ คือ

1. อ้าปากแล้วหุบลงไม่ได้
2. อ้าปากได้น้อยกว่าปกติ

 

การอ้าปากแล้วหุบลงไม่ได้ ทางการแพทย์ เรียกว่า ขากรรไกรค้างหรืออ้าปากค้าง แต่เมื่ออ้าปากแล้วไม่สามารถอ้าปากได้กว้างตามปกติ เรียกว่า อ้าปากได้จำกัดหรืออ้าปากไม่ขึ้น

 

อ้าปากค้างเกิดจากอะไร

โดยทั่วไปเมื่อเราอ้าปากและหุบปาก ข้อต่อขากรรไกรที่อยู่บริเวณหน้ารูหูจะหมุนและเคลื่อนไปมาในเบ้ากระดูก ซึ่งเป็นส่วนที่ติดกับกระโหลกศีรษะ เมื่ออ้าปากหัวข้อต่อขากรรไกรและหมอนรองข้อต่อขากรรไกรจะเคลื่อนออกจากเบ้ากระดูกและเคลื่อนกลับเข้าเบ้ากระดูกเมื่อหุบปาก เมื่ออ้าปากค้างหัวข้อต่อขากรรไกรจะเคลื่อนพ้นเบ้ากระดูกออกมาขัดค้างอยู่นอกเบ้า และไม่สามารถเคลื่อนกลับเข้าที่ได้ เราจึงไม่สามารถหุบปากลงได้ตามปกติ เช่น เมื่อหาวกว้างๆ หัวเราะกว้างๆ รับประทานอาหารคำโตๆ อ้าปากกว้างเพื่อทำฟันนานๆ ซึ่งอาจเกิดเสียงดังบริเวณข้อต่อขากรรไกรเมื่อเกิดขากรรไกรค้างและขณะเกิดอาการมักรู้สึกเจ็บปวดร่วมด้วย

เมื่ออ้าปากค้างควรทำอย่างไร

เมื่ออ้าปากค้างต้องพยายามสงบใจและอย่าตกใจเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบดเคี้ยวเกร็งมากขึ้น และไม่สามารถจัดตำแหน่งขากรรไกรเข้าที่ได้ บางครั้งเมื่อผู้ป่วยพยายามขยับขากรรไกรไปมาหรือนวดคลึงบริเวณหน้าหูและข้างแก้มเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อก็จะสามารถหุบปากลงได้เอง ทั้งนี้ห้ามตบหรือชกใบหน้าและขากรรไกรหรือพยายามหุบปากลงทั้งที่ข้อต่อขากรรไกรยังค้างอยู่ เพราะจะทำให้เจ็บมากขึ้น

 

หากลองรักษาด้วยตนเองในเบื้องต้นแล้วไม่ประสบผลสำเร็จ ควรรับการรักษาอย่างฉุกเฉินจากแพทย์หรือทันตแพทย์ที่จะจัดขากรรไกรให้เข้าที่ได้ หากกล้ามเนื้อบดเคี้ยวของผู้ป่วยเกร็งมาก ผู้ป่วยอาจได้รับยาเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อและลดความกังวล ซึ่งจะเอื้อให้แพทย์และทันตแพทย์จัดขากรรไกรเข้าที่ได้ง่ายขึ้น เมื่อสามารถหุบปากลงได้แล้วไม่ควรอ้าปากกว้างๆ อีก เพราะอาจทำให้อ้าปากค้างอีกได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออ้าปากค้างขณะทำฟันสามารถประคบบริเวณหน้าหูหรือข้างแก้มด้วยน้ำเย็นเพื่อลดอาการเจ็บปวด ควรรับประทานอาหารอ่อนจนกว่าจะหายเจ็บและถ้ายังเจ็บมากสามารถรับประทานยาต้านการอักเสบสักระยะได้

อ้าปากค้างมีการรักษาอย่างไร

– หลีกเลี่ยงการอ้าปากกว้างมากๆ เช่น เวลาหาวให้เอามือประคองใต้คาง เวลารับประทานอาหารให้ตัดอาหารเป็นคำเล็กๆ
– เวลาทำฟันให้แจ้งทันตแพทย์หากมีประวัติเคยมีขากรรไกรค้าง หรือขอพักเป็นระยะเพื่อหุบปากลงหากรู้สึกเมื่อย
– หมั่นบริหารขากรรไกร หากมีอาการอ้าปากค้างบ่อยๆ โดยวางปลายลิ้นที่เพดานปากบริเวณเหงือกหลังฟันหน้าบน แล้วอ้าปากจนกว้างที่สุด โดยให้ปลายลิ้นยังแตะบริเวณนี้ตลอดเวลา ไม่ดันฟันหน้าเพราะอาจทำให้ฟันหน้ายื่น ค้างอยู่ท่านี้ประมาณ 6 วินาที ทำซ้ำ 6 ครั้ง นับเป็น 1 รอบ ทำวันละ 6 รอบ ท่าบริหารนี้จะเป็นการฝึกให้ผู้ป่วยอ้าปากอยู่ในวงจำกัดที่หัวข้อต่อขากรรไกรเคลื่อนอยู่ภายในเบ้ากระดูก ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าอ้าปากได้แคบลงซึ่งจะไม่ทำให้อ้าปากกว้างเกินจำกัดและอ้าปากค้างต่อไป

หากดูแลขากรรไกรแล้วยังคงอ้าปากค้างและไม่สามารถเอากลับเข้าที่ได้ด้วยตนเองบ่อยๆ
ทันตแพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดแก้ไขโครงสร้างของข้อต่อขากรรไกร

อ.ดร.ทพญ. นามรัฐ ฉัตรไชยยันต์

ภาควิชาวิทยาระบบบดเคี้ยว

ความผิดปกติของการสบฟันในผู้ป่วยวัยเด็ก

ความผิดปกติของการสบฟันในผู้ป่วยวัยเด็ก

การสบฟันลึก หมายถึง ระยะเหลื่อมแนวดิ่งที่ฟันหน้ามากกว่า 1/3 ของความสูงของฟันหน้าล่าง สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะฟันน้ำนมและระยะฟันชุดผสม (ช่วงที่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบและยังมีฟันน้ำนมเหลืออยู่) ในการรักษาจะอาศัยการแก้ไขด้วยเครื่องมือทันตกรรมจัดฟันชนิดถอดได้ หรือเครื่องมือฟังก์ชันนอล เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรล่าง

การสบฟันเปิด ที่พบได้บ่อย มักพบที่ฟันหน้าบนล่างไม่สบกัน โดยส่วนใหญ่เกิดจากการดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ โดยในการรักษาควรให้ฝึกวางตำแหน่งลิ้นให้กลืนอย่างถูกต้อง ร่วมกับการใช้เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ โดยอาจเป็นเครื่องที่ช่วยในการขยายขากรรไกร หรือเป็นเครื่องมือจัดฟันชนิดติดแน่น

ฟันสบคร่อม หมายถึง ลักษณะที่ฟันล่างสบคร่อมฟันบน (โดยปกติฟันบนจะสบคร่อมฟันล่าง) พบได้ทั้งในฟันหน้าและฟันหลัง ฟันสบคร่อมควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ด้วยการใส่เครื่องมือถอดได้ที่ติดสปริงหรือสกรูและเพลทเพื่อยกฟันหลัง และสามารถดันฟันที่สบคร่อมออกมา หรืออาจใช้ร่วมกับเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นก็ได้

ฟันซ้อนเก มักพบในระยะฟันชุดผสม ฟันแท้ที่ขึ้นมาทดแทนจะมีขนาดใหญ่กว่าฟันน้ำนมที่หลุดออกไป ฟันจึงขึ้นมาเบียดซ้อนกัน หรือเกิดจากการสูญเสียฟันน้ำนมบางซี่ไปก่อนกำหนด ทำให้ฟันข้างเคียงเคลื่อนที่เข้ามาแทน การรักษาขึ้นอยู่กับการตรวจวินิจฉัยโดยทันตแพทย์ว่าควรทำเลยหรือรอจนฟันแท้ขึ้นจบครบได้

คราวนี้ทุกคนก็พอจะทราบแล้วว่าลักษณะการสบฟันที่ผิดปกติในวัยเด็กเป็นอย่างไร สาเหตุหลักๆ มักมีด้วยกัน 3 ประการ

1. จากการมีลักษณะนิสัยการดูดนิ้ว, การกลืนที่ผิดปกติ ซึ่งเรื่องนี้คุณแม่คุณพ่อก็ต้องดูกันตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ กันเลย
2. การดูแลฟันน้ำนมไม่ถูกต้อง ทำไมต้องดูแลฟันน้ำนมให้ดี เพราะฟันน้ำนมนอกจากจะมีไว้บดเคี้ยวตามธรรมชาต ช่วยในการออกเสียงแล้วยังเป็นผู้ดูแลช่องว่างเตรียมไว้ให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมาทดแทนด้วย ถ้าเสียฟันน้ำนมไปก่อนเวลาอันควรช่องว่างสำหรับฟันแท้จะมีไม่พอ เกิดปัญหาฟันซ้อนเกตามมาได้
3. สาเหตุจากกรรมพันธุ์ ไม่เพียงแต่มีผลเฉพาะกับฟัน เช่น ลักษณะรูปร่างของฟัน ขนาดฟัน จำนวนฟัน เท่านั้น ยังส่งผลต่อลักษณะของโครงหน้าอีกด้วย เช่น หน้ากลม หน้ารูปไข่ หน้าเหลี่ยม คางสั้น คางยื่น เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจประเมิน วินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสมจากทันตแพทย์เฉพาะทางสาขา ทันตกรรมจัดฟัน

อ.ทพ.พงศธร พู่ทองคำ

ภาควิชาทันตกรรมจัดฟัน

ฟัน(น้ำนม) ผุ

ฟัน(น้ำนม) ผุ

ปัญหาฟันน้ำนมผุเกิดจากอะไร ?

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฟันน้ำนมผุ มาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว การปล่อยให้เด็กนอนหลับคาขวดนม ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในนม สามารถเข้าไปทำลายเคลือบฟันของเด็กได้ เพราะคราบจุลินทรีย์จะย่อยน้ำตาลในนมที่ค้างอยู่บนผิวฟัน ทำให้เกิดการสะสมของกรด ละลายผิวฟันเป็นรู นอกจากเรื่องขวดนมแล้ว ปัญหาฟันน้ำนมผุ ยังอาจเกิดได้จากโครงสร้างของฟันเด็กที่ไม่สมบูรณ์ อาจเป็นเพราะคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย แม่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กยุคนี้ฟันผุง่ายก็คือ การรับประทานขนมตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันนั่นเอง  อีกทั้งผู้ปกครองหลายคนมักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการรับประทานขนมและการแปรงฟันของลูกมากนัก และลูกก็ยังไม่สามารถทำความสะอาดฟันอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ฟันผุได้ง่ายนั่นเอง

 

ฟันน้ำนมผุได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?

ปัญหาฟันน้ำนมผุหรือฟันผุในวัยเด็ก สามารถเกิดได้ตั้งแต่เด็กมีฟันขึ้นในช่องปาก ซึ่งก็คืออายุประมาณ 6 เดือน  เนื่องจากชั้นเคลือบฟันน้ำนมหนาประมาณครึ่งหนึ่งของฟันแท้เท่านั้น ทำให้ฟันน้ำนมผุได้ง่ายกว่ามาก และยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบน้อยกว่าอีก โดยฟันน้ำนมซี่หน้าบนจะผุได้ง่ายกว่าฟันหน้าล่าง รวมทั้งอีกจุดที่ผุง่ายก็คือ ฟันกรามด้านบดเคี้ยว เพราะเป็นซี่ใน ขนมหวานมักติดค้างอยู่ในร่องฟัน จึงทำความสะอาดได้ยากนั่นเอง

รู้จัก 3 ระยะ ของโรคฟันผุ

  1. ฟันผุในระยะแรก จะพบลักษณะรอยโรคขุ่นขาวบริเวณเคลือบฟันหรือหลุมร่องฟัน ซึ่งจะยังไม่แสดงอาการ
  2. ฟันผุที่ชั้นเคลือบฟันและเนื้อฟัน จะมีการแตกหักของเนื้อฟันจนเกิดรอยผุเป็นรูบนตัวฟัน เด็กจะเริ่มมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน เวลาเศษอาหารติด
  3. ฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน จะมีอาการปวดฟัน ประสาทฟันอักเสบร่วมกับการอักเสบของเหงือกและอวัยวะรอบๆ ฟัน

การรักษาฟันน้ำนมผุ

หากลูกมีฟันผุระยะแรกเริ่ม คุณหมอจะให้คำแนะนำในการรับประทานอาหารและการทำความสะอาดหรือเคลือบหลุมร่องฟัน คุณหมอจะทำการอุดฟันหรือครอบฟันในฟันที่ผุถึงชั้นเนื้อฟัน แต่หากฟันผุทะลุเข้าไปถึงโพรงประสาทฟัน คุณหมอจะต้องรักษาด้วยการรักษารากฟัน หรือถอนฟันแทน แต่สำหรับกรณีที่ฟันผุยังไม่ได้ทำลายรากฟัน และกระดูกเบ้าฟันไปมาก คุณหมอจะแนะนำให้เก็บรักษาฟันน้ำนมไว้ใช้งาน รอจนฟันแท้จะขึ้นมาแทนที่ การอุดฟันที่ผุลึกมาก การถอนฟัน หรือการรักษารากฟัน คุณหมอจะใช้ยาชา เพื่อไม่ให้เด็กๆ รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

 

วิธีป้องกันไม่ให้ฟันน้ำนมผุ

– ฝึกให้เด็กทารกเข้านอนโดยไม่มีนิสัยติดขวดนม
– สอนให้เด็กใช้แก้วน้ำแทนขวดนมและฝึกดูดจากหลอด ตั้งแต่อายุ 6 – 12 เดือน และควรเลิกใช้ขวดนม เมื่ออายุ 1 ปี ไปแล้ว
– ฝึกนิสัยไม่ให้ลูกทานขนมจุบจิบ อาหารรสหวาน เพราะเป็นสาเหตุของฟันผุ หากลูกอยากรับประทานให้รับประทานในมื้ออาหาร
– เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ไม่เติมน้ำตาลและไม่ทำให้ฟันผุ เช่น นมจืด ผลไม้ แซนวิสทูน่า ปลาเส้น เป็นต้น
– ให้ลูกบ้วนปากหลังดื่มนม รับประทานขนม หรือหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง
– แปรงฟันให้ลูกด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง เวลาเช้า – ก่อนนอน
– เมื่อลูกอายุ 4 ขวบ ฝึกให้ลูกแปรงฟันอย่างถูกวิธี และช่วยแปรงซ้ำเป็นประจำ
– พาลูกไปพบทันตแพทย์ ตรวจฟันเป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อจะได้รับความรู้และแนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพในช่องปากอย่างถูกต้อง

อ.ทพญ. วรณัน ประพันธ์ศิลป์

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

นอนกัดฟันคืออะไร

นอนกัดฟันคืออะไร

เป็นการทำงานนอกหน้าที่ของระบบบดเคี้ยวในขณะนอนหลับ ที่ทำให้กล้ามเนื้อที่ใช้บดเคี้ยวหดตัวผิดปกติ จึงเกิดการกัดฟัน จัดเป็นความผิดปกติของการนอนหลับอย่างหนึ่ง (Sleep disorders)

 

รู้ได้อย่างไรว่าเรานอนกัดฟัน

  • ส่วนมากคนที่นอนด้วยเขาจะบอกเราได้ แต่บางทีหรือบางคนถ้ากัดฟันแบบกัดแน่น ไม่ไถฟันไปมา ก็ไม่ได้ยินเสียง
  • อาจสังเกตตัวเองว่าตื่นนอนแล้วรู้สึกเมื่อยหรือเจ็บตึงที่บริเวณแก้ม หน้าหู หรือมีข้อต่อขากรรไกรขยับลำบาก ติดๆ ขัดๆ
  • ถ้าให้ทันตแพทย์ตรวจจะพบมีฟันสึกผิดปกติ ไม่สมกับอายุ ดูบริเวณแก้มด้านในและที่ขอบลิ้น มีรอยหยักตามแนวสบฟันชัดเจน แต่ต้องดูประกอบกันหลายอย่าง และอาจใช้เครื่องมือที่ช่วยทดสอบว่านอนกัดฟัน

สาเหตุ

  • ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด พบว่าอาจมีบางอย่างที่เกี่ยวข้อง เช่น พันธุกรรม ความเครียด วิตกกังวล
  • การรับประทานยาที่ช่วยปรับสารในสมอง
  • โรคบางอย่าง เช่น Parkinson ที่ทำให้กล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ
  • ความผิดปกติของการนอนหลับอื่นๆ (Sleep disorders)

 

อาการหรือผลเสียหายที่เกิดขึ้น

กล้ามเนื้อ

ถ้าเป็นน้อยก็อาจมีอาการเมื่อยๆ บริเวณแก้ม หน้าหู ตอนตื่นนอน

 

ฟัน

ฟันสึก แตก หรือร้าว ซึ่งอาจถึงขั้นต้องถอน

 

ข้อต่อขากรรไกร

ถ้าเป็นมากอาจจะเจ็บจนอ้าปากไม่ออก ขยับขากรรไกรลำบากจนถึงขั้นข้อต่อขากรรไกรเสื่อม

 

วิธีการรักษา

เนื่องจากยังหาสาเหตุที่แท้จริงไม่ได้ ปัจจุบันยังไม่มีวิธีที่ทำให้อาการนอนกัดฟันหายไป เราจึงต้องรักษาตามอาการและป้องกันการเสียหายที่จะเกิดขึ้น เช่น

ใส่เฝือกสบฟัน

  • เพื่อป้องกันฟันสึก ฟันแตก ฟันหัก
  • ช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณขากรรไกรลดความเกร็ง ความตึง

 

ฝึกการผ่อนคลาย

เช่น การฟังเพลงเบาๆ การทำสมาธิ การออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย จะทำอย่างไรก็ได้ตามที่ชอบและสบายใจ แต่ไม่ใช่นั่งเล่นเกมส์ หรือใช้สื่อโซเชียลมีเดียต่างๆ เป็นเวลานาน ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนเกร็ง ไม่ใช่การพักผ่อนที่แท้จริง

ศ.คลินิก ทพญ. ณัฏยา อัศววรฤทธิ์

ภาควิชาวิทยาระบบบดเคี้ยว

ความสำคัญของน้ำลาย

ความสำคัญของน้ำลาย

น้ำลายคืออะไร และ ผลิตจากไหน ?

น้ำลาย (Saliva) คือ ของเหลวที่ถูกหลั่งในช่องปาก ถูกผลิตจากต่อมน้ำลายหลัก (Major salivary glands) และต่อมน้ำลายย่อย (Minor salivary glands) ต่อมน้ำลายหลักมีด้วยกัน 3 คู่ มีขนาดใหญ่ และแต่ละคู่มีตำแหน่งแตกต่างกันในช่องปาก ดังนี้

ส่วนประกอบของน้ำลายมีอะไรบ้าง ?

ส่วนประกอบของน้ำลายมนุษย์ ประกอบด้วย น้ำ ถึงร้อยละ 99.5 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 0.5 ประกอบไปด้วย อิเล็กโทรไลท์ (Electrolytes) หรือเกลือแร่ ได้แก่ โซเดียม โปแตสเซียม คลอไรด์ ไบคาร์บอเนทและฟอสเฟต มูกเมือก (Mucus) ประกอบด้วยแป้งและโปรตีน สารต้านเชื้อแบคทีเรีย และเอนไซม์ย่อยอาหารจำพวกแป้ง และไขมัน

 

น้ำลาย มีประโยชน์อย่างไร ?

  1. ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นในช่องปาก และป้องกันเนื้อเยื่อในช่องปากจากภยันตรายต่าง ๆ ระหว่างการเคี้ยว การกลืน และการพูดคุย
  2. ช่วยในการย่อยอาหาร น้ำลายช่วยทำให้อาหารมีความนุ่มง่ายต่อการย่อย และยังมีองค์ประกอบของเอนไซม์ Amylase และ Lipase ที่ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกแป้ง และไขมัน ตามลำดับ ก่อนส่งต่อไปยังกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็ก
  3. ช่วยป้องกันฟันผุ โดยน้ำลายทำหน้าที่เป็นสารบัฟเฟอร์จากองค์ประกอบของอิเล็กโทรไลท์ ควบคุมความเป็นกรดเป็นด่างที่เหมาะสมในช่องปาก อยู่ที่ประมาณ pH 6.2 – 7.4 ซึ่งถ้าสมดุลในส่วนนี้ถูกรบกวน เกิดความเป็นกรดที่สูงขึ้น จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ ในทางตรงกันข้าม ถ้าเกิดความเป็นด่างที่สูงขึ้น จะมีโอกาสเกิดหินปูนได้มาก ทำให้เกิดโรคปริทันต์
  4. ช่วยในการรับรส โดยส่งเสริมการทำหน้าที่ของปุ่มรับรส เราจะสังเกตเห็นได้ว่าในคนไข้ที่มีน้ำลายน้อย เช่น ผู้สูงอายุ หรือคนไข้ที่ทานยาที่มีผลต่อการลดการหลั่งน้ำลาย มักจะมีการรับรสที่ผิดปกติ
  5. ในน้ำลายมีสารที่ฆ่าเชื้อโรคได้ คือ สารอิมมูโนโกลบูลินเอ (IgA) แลคโตเฟอริน และแลคโตเพอร์ออกซิเดส เวลามีแผลในปาก สารเหล่านี้จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น  ฆ่าเชื้อโรคได้

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้น้ำลายมีประโยชน์มากมาย แต่ในขณะเดียวกันน้ำลายอาจเป็นส่วนที่แพร่กระจายเชื้อโรค ทำให้เกิดโรคติดต่อจากบุคคลหนึ่งสู่บุคคลหนึ่งได้เช่นกัน เช่น โรคเริม โรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น

 

ปริมาณ น้ำลาย/วัน ในมนุษย์

โดยเฉลี่ยมีการศึกษารายงานว่าปริมาณน้ำลายถูกหลั่งอยู่ในช่วง 0.75 – 1.5 ลิตร/วัน และเป็นที่ยอมรับว่าปริมาณน้ำลายจะมีการหลั่งที่น้อยลง หรือหยุดผลิตระหว่างการนอนหลับ หรือในช่วงเวลากลางคืน จึงเป็นสาเหตุให้มีกลิ่นปาก ไม่มีตัวฆ่าเชื้อในช่องปาก

จากที่กล่าวมาข้างต้น น้ำลายมีความสำคัญอย่างมาก ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นต่อการหลั่งน้ำลายที่น้อยลง ด้วยสาเหตุต่าง ๆ อาทิเช่น ภาวะสูงอายุ ยาที่มีผลลดการหลั่งน้ำลาย โรคทางระบบ เช่น เบาหวาน โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำลายติดเชื้อ มะเร็งต่อมน้ำลาย ภาวะหลังการรักษามะเร็งที่ศีรษะและลำคออาจจะด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด ซึ่งจะมีผลต่อต่อมน้ำลาย เมื่อต่อมน้ำลายมีความผิดปกติ หลั่งน้ำลายได้น้อย (Hyposalivation) จะส่งผลให้เกิดสภาวะปากแห้ง (Dry mouth / Xerostomia) เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ในช่องปาก เช่น ฟันผุ โรคเหงือกและปริทันต์อักเสบ แผลอักเสบในช่องปาก กลิ่นปาก ติดเชื้อราในช่องปาก ถึงตอนนี้เราได้เรียนรู้ว่าน้ำลายไม่ใช่แค่ของเหลวธรรมดา ๆ แต่เป็นของเหลวที่ถูกสร้างขึ้นจากร่างกายมีความสำคัญช่วยทำให้เราดำเนินชีวิตได้ตามปกติ หากเรามีความผิดปกติของน้ำลาย หรืออยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการหลั่งน้ำลายน้อยตามที่อธิบายข้างต้น เราควรจะสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรมีการดูแลเอาใจใส่สุขภาพช่องปากเป็นพิเศษด้วยตนเองจากทันตแพทย์และแพทย์

รศ.ดร.ทพ. ขจรเกียรติ เจนบดินทร์

ภาควิชากายวิภาคศาสตร์