อุปกรณ์ทำความสะอาดฟันมีอะไรบ้าง
อุปกรณ์ทำความสะอาดช่องปาก แบ่งได้ 2 ประเภท คือ
อุปกรณ์หลักในการทำความสะอาดช่องปาก หมายถึง อุปกรณ์ที่เราทุกคนต้องใช้เป็นหลัก จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้ ได้แก่ แปรงสีฟัน และ ไหมขัดฟัน
อุปกรณ์เสริมในการทำความสะอาดช่องปาก หมายถึง อุปกรณ์ช่วยเสริมในการทำความสะอาดช่องปากให้สะอาดยิ่งขึ้น ในกรณีที่มีฟันบางตำแหน่งที่ยากในการเข้าถึง อาจไม่จำเป็นต้องใช้ทุกคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะช่องปากของแต่ละคน อุปกรณ์เสริมเหล่านี้ ได้แก่ แปรงซอกฟัน แปรงกระจุก ซูเปอร์ฟลอสส์ เข็มร้อยไหมขัดฟัน เป็นต้น
1. แปรงสีฟัน (Toothbrush)
แปรงสีฟันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาดฟันและลิ้น มี 2 ประเภท หลักๆ คือ แปรงสีฟันธรรมดาและแปรงสีฟันไฟฟ้า
จะเลือกแปรงสีฟันแบบใดจึงจะดี
เลือกแปรงสีฟันที่มีขนาดและรูปร่างของแปรงพอเหมาะกับช่องปาก สามารถทำความสะอาดเข้าถึงได้ทุกบริเวณทั่วช่องปาก ด้ามแปรงตรง จับถนัดมือ ขนแปรงทำจากไนลอน ชนิดนุ่มหน้าตัดตรง ขนแปรงแต่ละเส้นมีการมนปลายเพื่อไม่ให้ปลายคมขรุขระ ทำร้ายเหงือกและฟัน และไม่ว่าแปรงสีฟันธรรมดาหรือแปรงสีฟันไฟฟ้าก็สามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นเดียวกันหากใช้อย่างถูกวิธี เราควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์เพื่อช่วยป้องกันฟันผุ อีกทั้งควรเปลี่ยนแปรงทุก 3 – 4 เดือน หรือเมื่อขนแปรงเริ่มบาน
2. ไหมขัดฟัน (Dental floss)
ไหมขัดฟัน เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ทำความสะอาดบริเวณซอกฟันได้ดีที่สุด พึงระลึกไว้เสมอว่า การแปรงฟันอย่างเดียวไม่สามารถทำความสะอาดซอกฟันได้หมดจด จะต้องใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วย โดยใช้ไหมขัดฟันหลังจากแปรงฟันเสร็จแล้วทุกครั้ง ไหมขัดฟันเหมาะสำหรับผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันแคบ แต่หากในผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันกว้างหรือฟันอยู่ห่างกันมาก อาจต้องใช้อุปกรณ์ช่วยทำความสะอาดซอกฟันอื่นๆ ร่วมด้วย
3. ด้ามยึดไหมขัดฟัน (Floss holder )
ด้ามยึดไหมขัดฟัน เป็นอุปกรณ์ช่วยยึดไหมขัดฟันทดแทนการใช้นิ้วมือควบคุมไหมขัดฟันโดยตรง เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดการใช้ไหมขัดฟันทั่วไป ผู้ที่มีปัญหาในการควบคุมนิ้วมือ หรือผู้ที่อ้าปากได้จำกัด ด้ามนี้จะช่วยให้ไม่ต้องใช้นิ้วเข้าไปในปากเพื่อควบคุมไหมขัดฟัน
4. แปรงซอกฟัน (Interdental bush or interproximal brush)
แปรงซอกฟัน เป็นอุปกรณ์ช่วยทำความสะอาดซอกฟันในผู้ที่มีช่องว่างระหว่างฟันเกิดขึ้น เนื่องจากเหงือกร่นหรือบริเวณซอกฟันมีส่วนคอด นอกจากนี้ยังใช้ทำความสะอาดใต้เครื่องมือจัดฟัน ฟันเทียมแบบติดแน่น หรือรากฟันเทียม (Dental implant) แปรงซอกฟันมีหลายขนาด ให้เลือกที่ขนาดใหญ่กว่าช่องว่างระหว่างฟันเล็กน้อยเพื่อการทำความสะอาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. แปรงกระจุก (End tuff brush or single tuff brush)
แปรงกระจุก เหมาะสำหรับฟันที่อยู่โดดเดี่ยว ไม่มีฟันประชิด ซึ่งเราต้องการทำความสะอาดโดยรอบซี่ฟัน หรือใช้ทำความสะอาดฟันซี่ท้ายสุดของแถว ฟันที่เกและเรียงซ้อนกัน ทำความสะอาดรอบรากเทียม หรืออาจใช้ทำความสะอาดบริเวณใต้ลวดจัดฟันก็ได้
6. เข็มร้อยไหมขัดฟัน (Floss threader)
เข็มร้อยไหมขัดฟันทำจากพลาสติก ด้านหนึ่งเป็นห่วงสำหรับร้อยไหมขัดฟัน อีกด้านหนึ่งมีลักษณะเป็นปลายแหลมเพื่อช่วยนำไหมขัดฟันเข้าทำความสะอาดโดยเฉพาะบริเวณใต้สะพานฟัน ฟันที่เชื่อมกัน (Splinted teeth) หรือซอกฟันที่ติดเครื่องมือจัดฟัน
7. ซูเปอร์ฟลอสส์ (Super floss)
ไหมขัดฟันชนิดนี้ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ก้านพลาสติก ส่วนฟองน้ำ และส่วนไหมขัดฟันปกติ ซูเปอร์ฟลอสส์สามารถใช้ทำความสะอาดโดยใช้ส่วนก้านพลาสติกร้อยใต้สะพานฟัน ฟันที่เชื่อมกัน หรือซอกฟันที่ติดเครื่องมือจัดฟันได้เช่นเดียวกับการใช้ไหมขัดฟันร่วมกับเข็มร้อยไหมขัดฟัน
โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นอย่างไร ?
โรคมือ- เท้า-ปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม enterovirus ซึ่งมักเป็น coxsackievirus A16 และยังอาจเกิดจากเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ ในกลุ่มนี้ได้ เช่น enterovirus 71 โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัส ทำให้เป็นไข้และมีตุ่มพองเกิดขึ้นที่ มือ เท้า และในปาก
ใครมีโอกาสเป็น โรคมือ-เท้า-ปาก ได้บ้าง ?
เด็กเล็กๆ จนถึงอายุ 10 ปี พบว่ามีโอกาสเกิดโรคสูงสุด พบได้จนถึงวัยหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ก็ติดเชื้อได้เช่นกันแม้ว่าพบน้อย หลังจากติดเชื้อแล้วจะเกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์นั้น แต่ยังมีโอกาสเป็น โรคมือ-เท้า-ปาก ได้อีก จากเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นในกลุ่มเดียวกัน
เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิด โรคมือ-เท้า-ปาก แพร่กระจายทางใด ?
เชื้อไวรัสพบในอุจจาระ สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย รวมทั้งในตุ่มพองของผู้ป่วย เชื้อจึงแพร่กระจายได้จากการสัมผัสกับอุจจาระ น้ำมูก น้ำลายและน้ำในตุ่มพองของผู้ที่เป็นโรค
อาการของ โรคมือ-เท้า-ปาก มีอะไรบ้าง ?
หลังจากสัมผัสเชื้อ 3 – 6 วัน เด็กจะมีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ หลังจากนั้น 1 – 2 วัน เด็กมักจะมีอาการเจ็บในปาก ทำให้ไม่ยอมรับประทานอาหารตามปกติ ทั้งนี้เนื่องจากมีตุ่มพองและแผลเกิดขึ้นในปาก นอกจากนี้ยังพบตุ่มพองที่มือและเท้าด้วย
ลักษณะที่สังเกตพบในปากเป็นอย่างไร ?
ส่วนใหญ่เด็กจะมีอาการเจ็บในปาก ทำให้ไม่รับประทานอาหารตามปกติ ในปากจะเริ่มจากมีจุดแดงแล้วเป็นตุ่มพอง มักพบที่เพดานแข็ง ลิ้น กระพุ้งแก้ม ตุ่มพองนี้มักจะแตกออกหลังจากเกิดขึ้นไม่นาน ทำให้พบลักษณะเป็นแผลตื้นๆ รูปร่างกลมขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 – 2 มิลลิเมตร ขอบแผลแดง พื้นแผลมีสีออกเหลือง แผลเล็กๆ หลายแผลอาจรวมกันเป็นแผลใหญ่ก็ได้
ลักษณะที่พบบริเวณมือและเท้าเป็นอย่างไร ?
ผื่นที่ผิวหนังอาจเกิดต่อเนื่อง 1 – 2 วัน เริ่มจากจุดเรียบหรือนูนแดง แล้วกลายเป็นตุ่มพองและแตกออกเป็นแผล พบได้ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รวมทั้งด้านข้างของนิ้วมือและนิ้วเท้า
วินิจฉัยโรคด้วยวิธีใด ?
การวินิจฉัยมักอาศัยประวัติและการตรวจร่างกาย ในกรณีที่จำเป็นอาจตรวจหาเชื้อไวรัส (coxsakievirus หรือ enterovirus ชนิดอื่นๆ) เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัย แต่ค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน
มีวิธีดูแลรักษาอย่างไร ?
ควรไปพบแพทย์ทันทีที่สงสัยว่าเป็นโรค เนื่องจากแม้ปกติ โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่ไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 7 – 10 วัน ในปัจจุบันมีรายงานถึงการระบาดของโรคและมีภาวะแทรกซ้อน ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ป้องกันโรคได้อย่างไร ?
เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิด โรคมือ-เท้า-ปาก พบได้ในอุจจาระ น้ำมูก น้ำลายและน้ำในตุ่มพอง เชื้อติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงและจากการสัมผัสทางอ้อม เช่น ใช้ของร่วมกับผู้ป่วย ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ การรักษาสุขอนามัย โดยการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอโดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังจากเข้าห้องน้ำ หลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก ก่อนเตรียมอาหาร รวมทั้งหลังจากสัมผัสน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย
เมื่อใดและนานเท่าใดที่ผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อได้ ?
ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เมื่อเริ่มเป็นโรค จนถึงเมื่อตุ่มพองที่ผิวหนังหายไป เชื้อไวรัสถูกปลดปล่อยออกมาทางอุจจาระนานหลายสัปดาห์
มีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ ?
ปกติ โรคมือ-เท้า-ปาก จะไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่เชื้อไวรัสบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดบวม เป็นต้น
ป้องกันการกระจายของโรคอย่างไร ?
ควรแยกเด็กที่ป่วย นอกจากนี้ผู้ที่สัมผัสกับน้ำมูก น้ำลายและอุจจาระของผู้ป่วยต้องล้างมือให้สะอาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ
สรุป
โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะแรกจากลักษณะอาการของผู้ป่วย โดยเฉพาะในรายที่มีตุ่มพองและแผลในปากร่วมกับตุ่มพองที่มือและเท้า ควรพบแพทย์/ทันตแพทย์เพื่อการดูแลรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น
แผลร้อนในคืออะไร ?
คือ โรคที่เกิดขึ้นที่เนื้อเยื่อบุผิวช่องปาก อาจเกิดเพียงหนึ่งหรือหลายแห่ง ทำให้เกิดความเจ็บปวดมาก โดยจะเกิดเป็นจุดแดงหรือตุ่ม ต่อมาจะพัฒนาแยกออกมาเป็นแผลเปิด มีลักษณะเป็นสีขาว รูปวงรี โดยมีขอบเป็นสีแดงนูนออกมา โดยระยะเวลาของอาการอาจเกิดได้ตั้งแต่ 1 ถึง 2 สัปดาห์ พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มสาว โดยผู้หญิงพบได้บ่อยกว่าผู้ชาย มักพบที่ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เหงือก
สาเหตุเกิดจากอะไรหรอ ?
หินน้ำลายคืออะไร
หินน้ำลายหรือหินปูน คือ คราบแข็งที่ติดตามตัวฟัน พบบ่อยในฟันหน้าล่าง ด้านใน อาจพบที่บริเวณเหนือเหงือกหรือใต้เหงือก มีสีเหลืองจนถึงน้ำตาลดำ ไม่สามารถกำจัดออกโดยการแปรงฟันต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้กำจัดให้
การกำจัดหินน้ำลายมี 3 วิธี
1. การขูดหินน้ำลาย (scaling) เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และหินน้ำลายออกจากผิวฟัน มีเครื่องมือที่ใช้ขูด 2 ชนิด คือ
– เครื่องขูดหินน้ำลายไฟฟ้า (ultrasonic scaler/sonic scaler)
เป็นเครื่องมือที่ใช้พลังงานกลในการกระแทกให้หินน้ำลายหลุดจากผิวฟัน
– เครื่องขูดหินน้ำลายด้วยมือ (hand scaler)
ควรใช้เครื่องมือขูดหินน้ำลายไฟฟ้าและเครื่องมือขูดหินน้ำลาย ด้วยมือร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพของการขูดหินน้ำลายที่ดีที่สุด
2. การเกลารากฟัน (root planning) เป็นการกำจัดเคลือบรากฟัน (cementum) ที่เสียหายออกไป เพื่อทำให้ผิวรากฟันแข็งแรงและเรียบขึ้น ป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะได้ง่าย ทำให้แปรงฟันและดูแลช่องปากได้ดีมากขึ้น และทำให้เหงือกสร้างเนื้อเยื่อที่สามารถยึดเกาะกับผิวรากฟันได้ใหม่
3. การขูดเนื้อเยื่อเหงือกส่วนที่มีการอักเสบตายออก (gingival curettage) คือ การขจัดเนื้อเยื่อเหงือกส่วนที่ตายรอบๆ ร่องลึกปริทันต์ออก เพื่อให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อเหงือกขึ้นมาใหม่และยึดเกาะกับรากฟันได้
เนื่องจากรากฟันเคยมีหินน้ำลายเกาะมานาน เมื่อได้รับการขูดหินน้ำลายแล้ว ผิวรากฟันจะมีช่องเปิดสู่โพรงประสาทฟัน ทำให้มีอาการเสียวฟันง่ายเมื่อทานของเย็น แต่ร่างกายสามารถสร้างเนื้อฟันขึ้นมาทดแทนภายในโพรงประสาทฟันได้ เมื่อผู้ป่วยแปรงฟันได้ดี
เราสามารถป้องกันการเกิดหินน้ำลายได้ด้วยตัวเราเอง เนื่องจากหินน้ำลายเกิดจากคราบอาหารที่แปรงออกไม่หมด ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่าอดีตที่ผ่านมาผู้ป่วยดูแลตัวเองได้ไม่ดี ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ปกติ
ดังนั้นถ้าไม่อยากมีหินน้ำลายเกิดขึ้นในช่องปาก เราต้องแปรงฟันอย่างถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ และหมั่นไปพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อตรวจสอบว่าเราแปรงฟันได้ดีเพียงใด ทันตแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ดีแก่ท่าน
เลขที่ 888 ม.6 ถ.บรมราชชนนี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170
เบอร์ตรง 0-2849-6600