Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors

การผ่าตัดขากรรไกรเพื่อแก้ไขการสบฟันผิดปกติ : ความรู้เพื่อผู้ป่วยที่กำลังตัดสินใจ

การผ่าตัดขากรรไกรเพื่อแก้ไขการสบฟันผิดปกติ : ความรู้เพื่อผู้ป่วยที่กำลังตัดสินใจ

ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

การผ่าตัดขากรรไกรเพื่อแก้ไขการสบฟันผิดปกติ   ในปัจจุบัน  มีการผ่าตัดรักษาแก่ผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก  เป็นการผ่าตัดที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญชำนาญของทันตแพทย์สาขาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียลที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน  รวมทั้งทีมผ่าตัดที่มีความสามารถเฉพาะ และเครื่องมือผ่าตัดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการผ่าตัดประเภทนี้  ดังนั้น หากผู้ป่วยเอง หรือผู้ปกครองของผู้ป่วยที่อยู่ในวัยนักศึกษา ที่กำลังสืบค้นสถานที่ที่ให้การรักษาที่ดีที่สุดแก่ตัวท่านเอง  หรือคนที่ท่านรัก ท่านควรใช้วิจารณญาณอย่างดีที่สุดก่อนตัดสินใจ  เนื่องจากการผ่าตัดขากรรไกรนี้ เป็นแนวทางการรักษาที่ซับซ้อน ใช้เวลาในการรักษายาวนาน มีการเปลี่ยนแปลงการสบฟันและใบหน้า ที่แตกต่างไปจากเดิม มีผลข้างเคียงต่างๆ และอาจจำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุงหลังผ่าตัดไปแล้ว เนื่องจากความซับซ้อนของปัญหาที่ผู้ป่วยมีมาแต่เดิม ดังนั้น เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย ให้ได้ผลการรักษาที่คุ้มค่า  ที่จะสร้างความสุขในการดำรงชีวิตประจำวันให้สมบูรณ์ จิตใจแจ่มใส เพิ่มความมั่นใจในตนเองทั้งในการทำงานและในสังคม  ข้อมูลนี้ จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ทุกท่านที่กำลังตัดสินใจเข้ารับการรักษา  ได้ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง เพื่อเตรียมความเข้าใจอย่างรอบด้าน ก่อนการรับการรักษา

ข้อบ่งชี้ของการรักษา

การผ่าตัดขากรรไกรเพื่อแก้ไขการสบฟันผิดปกติ  มีข้อบ่งชี้ดังนี้

  1. ผู้ป่วยมีความผิดปกติของการสบฟัน ที่การรักษาโดยวิธีจัดฟันแบบปกติ ไม่สามารถแก้ไขได้
  2. ผู้ป่วยมีความผิดปกติของความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรร่วมการสบฟันที่มีใบหน้าที่ไม่สมส่วน

ผู้ป่วยที่ไม่เหมาะสมต่อการรักษา

  1. ผู้ป่วยมีความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบทั่วไป
  2. ผู้ป่วยที่ยังอยู่ในช่วงอายุที่ยังไม่หมดการเจริญเติบโต
  3. ผู้ป่วยและ/หรือครอบครัว ไม่ประสงค์หรือสนับสนุนต่อการรักษาตั้งแต่ต้น
  4. ผู้ป่วยและ/หรือครอบครัว แสดงความต้องการ ความคาดหวังต่อผลการผ่าตัดเกินความเป็นจริง
  5. ผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในเรื่องค่าใช้จ่าย

 

ผลข้างเคียงสำคัญจากการผ่าตัดขากรรไกร ที่ผู้ป่วยควรทราบ

  1. หลังการผ่าตัด มักต้องมีอาการชาริมฝีปาก ใบหน้า แตกต่างกันในแต่ละบุคคล อาจหายเป็นปกติได้ หรือ อาจไม่กลับมาเป็นปกติตลอดไป ถึงแม้ว่าแพทย์ผ่าตัด จะใช้ความระมัดระวังอย่างถึงที่สุดแล้ว
  2. อาจมีการแตกหักของกระดูกขากรรไกรอันเป็นอุบัติเหตุ ที่เกิดจากลักษณะของกระดูกขากรรไกรแต่ละบุคคล หากเกิดขึ้นแล้ว ศัลยแพทย์ จะทำการแก้ไขเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อของกระดูกกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
  3. อาจต้องทำการผ่าตัดซ้ำ หากการสบฟัน ความสมมาตรของใบหน้าและฟัน ความสวยงามต่างๆของใบหน้า ยังไม่เป็นที่พึงพอใจ ถึงแม้ว่า จะได้รับการวางแผนการรักษาอย่างดีที่สุดแล้ว

ขั้นตอนการรับการรักษา

แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1  การตรวจประเมินเบื้องต้น

ขั้นตอนที่ 2  การจัดฟันเพื่อเตรียมลักษณะการสบฟันเพื่อการผ่าตัด

ขั้นตอนที่ 3  การวางแผนการผ่าตัด  การผ่าตัดและการดูแลภายหลังการผ่าตัด

ขั้นตอนที่ 4  การจัดฟันภายหลังการผ่าตัดเพื่อปรับการสบฟันระยะสมบูรณ์

ขั้นตอนที่  1  การตรวจประเมินเบื้องต้น

ผู้ป่วยที่ประสงค์รับการรักษา  ต้องได้รับคำปรึกษา และให้ข้อมูลจากทันตแพทย์จัดฟันและทันตแพทย์ผู้ให้การผ่าตัดในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ

  1. การพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลความต้องการของผู้ป่วย ในประเด็นของ ความต้องการสำคัญของผู้ป่วย ผู้ป่วยต้องอธิบายความต้องการสำคัญตั้งแต่เริ่มต้น  ความต้องการสำคัญ อยู่ในประเด็นของ
    • การต้องการแก้ไขการสบฟัน
    • การต้องการแก้ไขความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกร
    • การต้องการแก้ไขความสวยงามของใบหน้า

ความต้องการสำคัญของผู้ป่วย ต้องได้รับการเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง  เพื่อให้การตัดสินใจรับการรักษาของผู้ป่วย ถูกต้อง  ซึ่งหากพูดคุยแล้ว ความต้องการของผู้ป่วยอยู่ในระดับเกินความเป็นไปได้  การเริ่มต้นการรักษาต้องระงับทันที

  1. เมื่อได้รับข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษา รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาแล้ว จะเริ่มต้นการตรวจร่างกายและประเมินทางทันตกรรม
    • ตรวจร่างกายทั่วไป เพื่อประเมินข้อจำกัดและโรคที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดภายใต้การดมสลบทั่วไป
    • ตรวจทางทันตกรรม ประเมินการสบฟันและสุขภาพทางทันตกรรมอื่นๆที่ต้องทำก่อนการจัดฟัน เช่น อุดฟัน ขูดหินปูน
    • ทำการพิมพ์ปาก เพื่อให้ได้แบบพิมพ์ฟันต้นแบบ เพื่อการศึกษาวิเคราะห์การสบฟันอย่างละเอียด
    • ทำการถ่ายภาพรังสีทันตกรรม และขากรรไกรในระนาบต่างๆ เพื่อใช้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรและฟัน
    • วางแผนการรักษาเบื้องต้น ภายหลังได้แบบพิมพ์ฟันและภาพรังสี  รวมทั้งการถ่ายภาพใบหน้าและช่องปาก เพื่อลำดับขั้นตอนการการรักษา  ตั้งแต่การกำหนดซี่ฟันที่ต้องทำการถอนออกเพื่อการจัดฟัน   แผนการจัดฟัน  ระยะเวลา  แนวทางการผ่าตัด
    • ทำความเข้าใจระหว่างผู้ป่วย และทันตแพทย์ผู้ให้การรักษาอีกครั้ง เพื่อทำข้อตกลงเพื่อการรักษาอย่างเป็นทางการ เนื่องจาก การรักษาแนวทางนี้ ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนได้เหมือนดังเดิม ถึงแม้ว่า จะไม่ทำการผ่าตัดภายหลังเริ่มการจัดฟันไปแล้วก็ตาม เนื่องจากแนวการสบฟันจะผิดไปจากเดิมมาก  ดังนั้น ผู้ป่วย ต้องตัดสินใจให้แน่ชัดอีกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง

ขั้นตอนที่ 2  การจัดฟันเพื่อเตรียมลักษณะการสบฟันเพื่อการผ่าตัด

การจัดฟันเพื่อเตรียมลักษณะการสบฟันเพื่อการผ่าตัด จะไม่เหมือนการจัดฟันเพื่อการแก้ไขการสบฟันแบบปกติ  เนื่องจากการสบฟันที่ผิดปกติที่เกิดจากทั้งการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติร่วมกับความสัมพันธ์ของกระดูกเบ้าฟันและกระดูกขากรรไกรที่ผิดปกติ  ไม่สามารถจัดฟันให้อยู่ในการเรียงตัวที่ดีได้เหมือนฟันในกระดูกขากรรไกรที่ปกติทั่วไป  ดังนั้น การจัดฟันในขั้นตอนที่ 2 นี้ จะทำให้แนวการสบฟันขณะทำการจัดฟัน ดูเหมือนผิดปกติเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ หากได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรแล้ว จะทำให้เกิดลักษณะการสบฟันที่สมบูรณ์ตามที่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น  ระยะเวลาที่ใช้ในขั้นตอนที่ 2 นี้  อาจใช้เวลาสั้นยาวแตกต่างกัน ขึ้นกับระดับความยากง่ายของการบังคับฟันเพื่อให้เกิดการเรียงตัวตามแผนการรักษาที่ต้องการ

ขั้นตอนการจัดฟันมีขั้นตอนดังนี้

  1. กำหนดซี่ฟันที่ต้องถอน ส่วนใหญ่ ฟันกรามคุด  ฟันเกินในกระดูกขากรรไกร ต้องทำการผ่าตัดกำจัดออกทั้งหมดก่อนการจัดฟัน
  2. ภายหลังการถอนฟัน และผ่าตัดกำจัดฟันคุด ฟันเกินแล้ว จึงเริ่มทำการจัดฟัน
  3. เมื่อการจัดฟันสามารถจัดเรียงฟันได้ตามแผนการรักษาที่ได้วางไว้ จึงทำการพิมพ์แบบฟัน เพื่อใช้วิเคราะห์การสบฟันเพื่อการผ่าตัด

ขั้นตอนที่ 3  การวางแผนผ่าตัด การผ่าตัดและการดูแลภายหลังการผ่าตัด

เมื่อผู้ป่วยได้รับจัดฟันจนได้การเรียงฟันตามแผน ผู้ป่วยจะได้รับการส่งตัวมาเตรียมการผ่าตัดกับทันตแพทย์ศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล  โดยจะมีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้

  1. ตรวจประเมินการสบฟันจากแบบพิมพ์ฟันและการสบฟันในช่องปาก เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของการเรียงฟัน หากพบว่าการเรียงฟันยังไม่สมบูรณ์ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการจัดฟันเพื่อปรับการเรียงฟันอีกครั้ง จนกว่าจะเหมาะสมต่อการผ่าตัด
  2. เมื่อประเมินการสบฟันได้ตามแผนที่วางไว้และเหมาะสมต่อการผ่าตัดแล้ว จะทำการประเมินแผนการผ่าตัดว่า ควรจะผ่าตัดในลักษณะใด  ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ

ลักษณะการผ่าตัดขากรรไกร  แบ่งออกได้เป็น  การผ่าตัดขากรรไกรเดี่ยว และการผ่าตัดขากรรไกรร่วม 2 ขากรรไกร  นอกจากนี้ ยังมีการผ่าตัดที่จำเป็น ได้แก่ การผ่าตัดแยกส่วนร่วมผ่าตัดขากรรไกร  การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งปลายคาง  การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของขอบขากรรไกรล่างในตำแหน่งต่างๆ  และการผ่าตัดอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความสวยงามของใบหน้า

การผ่าตัดขากรรไกรเดี่ยว  โดยทั่วไป มักหมายถึงการผ่าตัดขากรรไกรล่าง  แต่ในบางราย อาจทำการผ่าตัดเฉพาะขากรรไกรบน   การผ่าตัดขากรรไกรล่าง  เป็นการผ่าตัดที่กรามทั้งสองข้าง  โดยวิธีการแยกแผ่นกระดูกเพื่อเคลื่อนส่วนที่แยกออก ไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ที่ได้ผลการสบฟันที่สมบูรณ์ที่สุด  นอกจากนี้ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องทำการผ่าตัดอื่นๆร่วม ได้แก่ การผ่าตัดเคลื่อนตำแหน่งคาง หรือการลดขนาดของขอบขากรรไกรล่างในตำแหน่งต่างๆที่มีความผิดปกติ หรือ การผ่าตัดตำแหน่งอื่น เกี่ยวเนื่องกับความสวยงาม

การผ่าตัด 2 ขากรรไกร หมายถึง การผ่าตัดขากรรไกรบนและขากรรไกรล่าง พร้อมกันในการผ่าตัดครั้งเดียวกัน  โดยมีข้อบ่งชี้ เช่น

  • ความผิดปกติที่พบ เกิดจากขากรรไกรบนและล่าง
  • พบว่า ใบหน้าส่วนกลาง มีมิติที่ผิดปกติ ทั้งในแนวหน้าหลัง และในแนวดิ่ง
  • กระดูกขากรรไกรบนมีระนาบการสบฟันของขากรรไกรบนเอียง ร่วมเส้นแบ่งฟันตัดหน้าบนผิดไปจากแนวกึ่งกลางของใบหน้า
  • แนวการสบฟันตามความสัมพันธ์ของกระดูกเบ้าฟันของขากรรไกรบนและล่าง ไม่สอดคล้องกัน เป็นต้น

เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อผู้ป่วย ที่จะได้รับผลการรักษาที่สมบูรณ์ที่สุด การสบฟันที่ดีขึ้น  ความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรบนและล่างที่ดีขึ้น และ ใบหน้าของผู้ป่วยที่สวยงามเท่าเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม ผู้ป่วยและแพทย์ผ่าตัด ควรทำความเข้าใจ และทำข้อตกลงในแผนการผ่าตัดอย่างรอบด้าน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นด้วย

กระบวนการเตรียมแผนการผ่าตัด  แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง โดยผู้ป่วย ควรสอบถามค่าใช้จ่ายจากอาจารย์หรือทันตแพทย์ประจำบ้าน เนื่องจากมี ค่าใช้จ่าย ที่แตกต่างกัน

แนวทางที่ 1   การเตรียมแผนการผ่าตัดโดยใช้แบบพิมพ์ขากรรไกรปูน และเครื่องจำลองการสบฟัน

  • ผู้ป่วยจะได้รับการพิมพ์ขากรรไกร เพื่อหล่อแบบปูน จำนวน 2 คู่ มาใช้ทำแผนการเลื่อนขากรรไกร
  • ทันตแพทย์ประจำบ้าน ร่วมกับอาจารย์ผู้รับผิดชอบผู้ป่วย จะร่วมทำการบันทึกมิติขากรรไกร ตรวจสอบ และอาจมีการวัดซ้ำได้
  • มีการนัดหมายเพื่อยืนยันลักษณะของความสัมพันธ์ขากรรไกรที่ได้ทำการถอดบันทึกเข้าเครื่องมือจำลองความสัมพันธ์ของขากรรไกร
  • มีการส่งทำแผ่นอครีลิก/เรซิน เพื่อถอดแบบการสบฟันเพื่อการผ่าตัด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแยกจ่ายจากค่าผ่าตัดที่กำหนดไว้
  • นัดหมายให้ผู้ป่วยมาลองแบบอะคริลิก/เรซิน ก่อนวันผ่าตัด

แนวทางที่ 2    การเตรียมแผนการผ่าตัดโดยใช้ CT SCAN ร่วมกับ โปรแกรมการวางแผนแบบดิจิตอล

  • ผู้ป่วยจะได้รับการส่งถ่ายภาพ CT SCAN และ การสแกนใบหน้า เพื่อสร้างภาพจำลอง 3 มิติ เพื่อนำเข้าในโปรแกรมการวางแผนการผ่าตัดขากรรไกร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากค่าผ่าตัดที่กำหนดไว้
  • ทันตแพทย์ประจำบ้านและอาจารย์ จะร่วมกันวางแผนการผ่าตัดขากรรไกรผ่านโปรแกรมติจิตอล ซึ่งจะได้แผนการผ่าตัดและส่งทำแผ่นอะคริลิก/เรซิน เพื่อถอดแบบการสบฟันเพื่อใช้ในการผ่าตัด ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากค่าผ่าตัดที่กำหนดไว้
  • ผู้ป่วยจะนัดหมายเพื่อลองแบบอะครีลิก/เรซิน ก่อนวันผ่าตัด หากแนวฟันไม่ลงในแนวแบบอะคริลิก/เรซินอย่างชัดเจน ผู้ป่วยอาจต้องทำกระบวนการใหม่ทั้งหมด ซึ่ง จะงดเว้นค่าใช้จ่ายในการทำซ้ำ
  1. เมื่อประเมินและวางแผนการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการส่งตรวจร่างกาย เพื่อเตรียมตัวก่อนการดมยาสลบทั่วไปและการผ่าตัด ได้แก่
    • การตรวจโลหิต และการตรวจอื่นๆที่จำเป็น  ได้แก่ CBC , Blood group, Ht, Hb, Platelet, PT,PTT, Anti HIV , Anti HBS Ag, Electrolyte, Cr, BUN,  ECG, Chest X-ray
    • การเก็บโลหิต เป็นการเก็บโลหิตของตัวผู้ป่วยเอง ( Autologous blood donation ) เพื่อนำมาใข้ในห้องผ่าตัดขณะทำการผ่าตัด หากมีการสูญเสียโลหิตขณะทำการผ่าตัดเป็นจำนวนมาก  โดยทั่วไป มักเก็บโลหิตของผู้ป่วยจำนวน 1-2 ยูนิต ( ยูนิตละ 400 cc. )ล่วงหน้าก่อนการผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม  ผู้ป่วยจะต้องมีน้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 45 กก. หากมีน้ำหนักตัวน้อยกว่านี้  จำเป็นต้องทำการจองโลหิต หรืออาจใช้โลหิตของพี่น้อง หรือญาติ หรือ ผู้ที่ผู้ป่วยนำมาตรวจหาความเข้ากันได้ของโลหิต นำมาเก็บโลหิตแทนโลหิตของผู้ป่วยเอง  ทั้งนี้ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด จะพิจารณาความเหมาะสมในความจำเป็นต่อการเก็บโลหิตเป็นรายๆไป
    • ผู้ป่วยเพศหญิงที่จะมีประจำเดือนในวันที่จะทำการผ่าตัด สมควรที่จะปรึกษาแพทย์วิสัญญี เพื่อได้รับยาระงับการมีประจำเดือนในวันที่รับการผ่าตัด
    • ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา ต้องบันทึกเป็นข้อมูลที่สำคัญ
  1. ผู้ป่วยจะเข้าพักในหอผู้ป่วย ก่อนวันผ่าตัด 1 วัน เพื่อเตรียมร่างกายก่อนการผ่าตัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัด ไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง  ผู้ป่วยต้องแปรงฟันให้สะอาด อาบน้ำชำระล้างร่างกายและสระผมให้สะอาด ในคืนก่อนการผ่าตัด
  2. วันผ่าตัด ผู้ป่วยจะเข้าห้องผ่าตัดก่อนเวลานัดหมายอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อเตรียมให้สารน้ำทางหลอดเลือด  และเตรียมตัวขึ้นเตียงผ่าตัด เพื่อจัดท่าและเตรียมอบอุ่นร่างกาย
  3. หากการผ่าตัดใช้เวลานานกว่า 3-4 ชั่วโมง ผู้ป่วยต้องรับทราบถึงความจำเป็นต่อการสอดท่อผ่านปัสสาวะ เพื่อประเมินการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต รวมทั้งลดการคั่งปัสสาวะที่จะเกิดความเจ็บปวดปัสสาวะภายหลังการผ่าตัด เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่สามารถปัสสาวะเองได้ทันที หรือปัสสาวะไม่ออกเป็นระยะเวลานาน และจะถอดท่อสวนปัสสาวะออก ในวันรุ่งขึ้นที่หอพักผู้ป่วยโดยพยาบาล
  4. ภายหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยจะต้องอยู่ในห้องผ่าตัดต่อ เพื่อประเมินการฟื้นสติ และการกลับมาของระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจมาอยู่ในระดับปกติ ก่อนการส่งกลับหอพักผู้ป่วย โดยปกติ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
  5. เมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัด จะมีท่อระบายเลือดบริเวณขากรรไกรล่างจำนวน 2 เส้น เพื่อระบายเลือดที่คั่งค้างบริเวณที่ทำการผ่าตัด เพื่อลดความบวมแก้มของผู้ป่วยให้มากที่สุด และจะนำออกจากช่องปากเมื่อระดับเลือดในกระเปาะเก็บเลือด ไม่เพิ่มปริมาณขึ้น ประมาณ 2-3 วัน  โดยการถอดท่อระบายเลือด อาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยบ้างและจะได้รับยาระงับปวดภายหลังการถอนท่อระบายเลือดออก
  6. ผู้ป่วยมักจะพักฟื้นในหอพักผู้ป่วย ประมาณ 2- 4 วัน ขึ้นกับระดับความซับซ้อนของการผ่าตัด อาการของผู้ป่วย การฟื้นตัวของผู้ป่วย  อาการบวมของใบหน้า จะมีระยะของการบวมเป็น  3 ระยะ  ในระยะแรก อยู่ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด  โดยอาการบวมจะมากที่สุดที่ระยะ 2 – 4 วัน หลังวันผ่าตัด  หลังจากนั้น อาการบวมจะค่อยๆลดลง  จนถึงระยะที่ 2 อาการบวมที่ลดลง จะลดลงร้อยละ 70 จนถึงสัปดาห์ที่สอง  ดังนั้น หากต้องลางาน หรือ ลาพักการเรียน  ระยะเวลา สองสัปดาห์ เป็นเวลาที่พอสมควรในการลา   ระยะที่ 3 อาการบวมที่เหลืออยู่ร้อยละ 20 – 30 จะค่อยๆลดลง จนหมดไปในเดือนที่สองหลังการผ่าตัด และรูปร่างใบหน้าจะปรากฏผลหลังเดือนที่สองเป็นต้นไป  ผู้ป่วย ไม่ควรวิตกกังวลเรื่องรูปร่างใบหน้าที่บวมกลมในช่วงแรก รอให้ผ่านเดือนที่สองไปแล้วจึงปรากฏ
  7. ในวันที่ผู้ป่วยจำหน่ายออกจากหอพักผู้ป่วย จะได้รับการล้างช่องปาก และถ่ายภาพรังสี  เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลหลังการผ่าตัดทันที  และเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงหลังการผ่าตัดตามระยะเวลาต่างๆ
  8. ผู้ป่วยจะได้รับการนัดหมายเพื่อตรวจแผลและล้างแผลในช่องปาก ตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด ทุกๆสัปดาห์ รวมทั้งประเมินการสบฟัน  หากมีการเปลี่ยนแปลงการสบฟันในระหว่าง 4 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด จะต้องรีบทำการแก้ไขด้วยการบังคับขากรรไกรด้วยยางบังคับฟัน โดยทันตแพทย์ผ่าตัดที่ดูแลอยู่  ผู้ป่วยอาจประสบกับความลำบากในการอ้าปากในระยะแรกหลังการผ่าตัด  แต่อาการนี้ จะดีขึ้น ภายหลังการบังคับขากรรไกรประสบผลสำเร็จ และสามารถปรับตัวได้ตามระยะเวลาที่ผ่านไป
  9. ผู้ป่วยอาจมีอาการข้างเคียง ได้แก่ อาการชาที่ริมฝีปาก  อาการชาที่ผิวหนังบริเวณใบหน้า  อย่างไรก็ตาม  โดยส่วนใหญ่ อาการชามักจะหายเองได้  ในระยะเวลาประมาณ 1 – 6 เดือน
  10. ผู้ป่วยอาจมีเลือดไหลออกจมูกได้ ภายหลังการผ่าตัด 1 – 5 วัน ทั้งนี้ เป็นจากการผ่าตัดขากรรไกรบน อาการเช่นนี้ เป็นอาการปกติ และจะหยุดไหลเอง ภายหลังระยะเวลา 5 วันขึ้นไป
  11. ผู้ป่วยจะได้รับการห้ามใช้ฟันบดเคี้ยวอาหาร ตลอดระยะเวลา 1 – 2 เดือนภายหลังการผ่าตัด เพื่อป้องกันการเคลื่อนผิดตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่ได้รับการผ่าตัด อาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับระหว่าง  1- 2 เดือน ควรเป็นอาหารเหลว ที่มีกากป่นนิ่ม กลืนง่าย ไม่เหนียว เช่น ข้าวต้ม  โจ๊ก  ซุป  น้ำผลไม้  นม  น้ำแกง  น้ำหวาน  โดยภายหลังการรับประทานอาหาร ผู้ป่วย จะต้องทำความสะอาดฟันและช่องปากให้สะอาดด้วยการบ้วนน้ำสะอาดบ่อยๆ  เท่าที่ผู้ป่วยจะทำได้
  12. ผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ผ่าตัดตามระยะเวลาที่กำหนด ภายหลังการผ่าตัด โดยจะนัดหมายเป็นระยะ ทุกสัปดาห์ในเดือนแรกหลังการผ่าตัด เดือนที่  3 , 6  , 9 และ 12 หลังการผ่าตัด เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของการสบฟันและใบหน้า  รวมทั้งการถ่ายภาพและภาพรังสี เพื่อเก็บข้อมูลในการเปรียบเทียบและการวิเคราะห์ผลการรักษา

ขั้นตอนที่ 4  การจัดฟันภายหลังการผ่าตัดเพื่อปรับการสบฟันระยะสมบูรณ์ 

ผู้ป่วยจะส่งไปยังทันตแพทย์จัดฟัน ภายหลังการผ่าตัดประมาณ 1 เดือน หรือจนกว่าความสัมพันธ์ของขากรรไกรจะคงที่  ภายหลังการจัดฟันจนได้การสบฟันที่สมบูรณ์  จนกระทั่งผู้ป่วยได้รับการถอดเครื่องมือจัดฟันติดแน่นออกจากฟัน  ผู้ป่วยจะเข้ามานัดหมายกับแพทย์ผ่าตัดอีกครั้ง เพื่อผ่าตัดกำจัดแผ่นดามกระดูกออกจากขากรรไกร ทั้งนี้ อาจทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ได้ หากตำแหน่งของแผ่นดามกระดูกอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดออกได้ง่าย แต่หากตำแหน่งของแผ่นดามกระดูกอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดยาก หรือต้องการผ่าตัดแก้ไขส่วนของขากรรไกรอื่นเพื่อเติม  จำเป็นต้องผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง

บทสรุป

จากรายละเอียดข้างต้นทั้งหมด เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะรับการรักษาผ่าตัดขากรรไกรเพื่อแก้ไขการสบฟันผิดปกติ  อย่างไรก็ตาม มิได้เป็นบรรทัดฐานที่สามารถอ้างอิงในทุกกรณี  ทั้งนี้ ต้องปรึกษากับทันตแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาเป็นกรณีแต่ละกรณีไป  ที่สำคัญ ผู้ป่วยและแพทย์ผู้ให้การรักษา จะต้องเข้าใจในสิ่งที่ตรงกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่เกิดจากความคลาดเคลื่อนของการสื่อสารตั้งแต่เริ่มต้นการรักษา  เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคน ได้รับผลการรักษาตามที่ประสงค์ไว้ทุกประการ

“ฟันคุด…ไม่ถอนออกได้ไหม”

“ฟันคุด…ไม่ถอนออกได้ไหม”

คำแนะนำการปฏิบัติตัว ก่อน-หลัง รับยาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ

ศัลยศาสตร์ช่องปาก และทันตกรรมรากเทียม

MU DENT faculty of dentistry

คำแนะนำการปฏิบัติตัว ก่อน-หลัง รับยาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ

คำแนะนำการปฏิบัติตัว ก่อน-หลัง รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วไป

ศัลยศาสตร์ช่องปาก และทันตกรรมรากเทียม

MU DENT faculty of dentistry

คำแนะนำการปฏิบัติตัว ก่อน-หลัง รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วไป

คำแนะนำการปฏิบัติตัวก่อน-หลังรับยาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ

ศัลยศาสตร์ช่องปาก และทันตกรรมรากเทียม

MU DENT faculty of dentistry

คำแนะนำการปฏิบัติตัวก่อน-หลังรับยาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ

รศ.พญ.เบญจมาศ อภิพันธุ์

ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล

การให้ยาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ
คือ การบริหารยาสงบประสาทเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อลดความวิตกกังวล โดยที่ผู้ป่วยยังมีสติอยู่สามารถทำตามคำสั่งของทันตแพทย์ได้ ซึ่งในวิธีการสงบประสาทด้วยวิธีนี้ ทำให้ผู้ป่วยสงบมากขึ้น และมักจะทำในหัตถการหรือการผ่าตัดที่ใช้เวลาไม่นาน

 

ทีมวิสัญญี คือ บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการบริการด้านวิสัญญี ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการผ่าตัด ให้ได้รับความปลอดภัยและพึงพอใจในการบริการของหน่วยวิสัญญี บุคลากรกลุ่มนี้คือ วิสัญญีแพทย์,วิสัญญีพยาบาล และผู้ช่วยวิสัญญี

 

คำแนะนำการปฏิบัติตัว ก่อน การได้รับยาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ

1. งดน้ำ นม เครื่องดื่ม และอาหารทุกชนิด หลัง 24.00 น.
เพื่อป้องกันอันตรายจากการอาเจียนและสำลักเศษอาหารเข้าหลอดลม/ปอด

2. ท่านต้องแจ้งประวัติโรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ
เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาเบาหวาน ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง ยาโรคหัวใจ วิตามินหรืออาหารเสริม รวมทั้งยาสมุนไพรต่างๆ ให้แพทย์ทราบ และนำยามาในวันผ่าตัดซึ่งยาบางชนิดต้องรับประทานในเช้าวันผ่าตัดกับน้ำปริมาณเล็กน้อย และยาบางชนิดต้องงด

3. แจ้งการแพ้ยาหรือสารทุกชนิด การผ่าตัดในอดีต และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
ประวัติเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับใช้ในการวางแผนและให้การรักษา

4. ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
เพื่อลดเสมหะและลดการไอ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบหายใจ

5. ต้องมีญาติมาด้วย
เพื่อช่วยเหลือในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ดูแลระหว่างท่านเดินทางกลับบ้าน และสามารถดูแลท่านได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง

6. ถ้าตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
จะต้องแจ้งให้ทีมวิสัญญีทราบ เพราะยาสามารถผ่านรกและอาจเกิดผลเสียต่อทารกได้ ถ้าเป็นการผ่าตัดที่ไม่รีบด่วน ควรจะทำหลังจากคลอดบุตร

7. ถอดฟันปลอมที่ถอดได้/คอนแทคเลนส์/เครื่องประดับทุกชนิด
ฝากเก็บไว้กับญาติ ก่อนไปห้องผ่าตัด

8. กรณีเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ
เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ หรือมีน้ำมูก ต้องแจ้งทีมวิสัญญีให้ทราบโดยละเอียด ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องหายจากอาการดังกล่าว อย่างน้อย 2 สัปดาห์ จึงจะสามารถให้ยาสงบประสาทโดยมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

9. ควรล้างสีเล็บ และควรตัดเล็บมือให้สั้น
เพื่อจะวัดค่าออกซิเจนทางปลายนิ้ว และสังเกตความเปลี่ยนแปลงจากการขาดออกซิเจน

 

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้

การให้ยาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ มีโอกาสเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้ บางครั้งอาจมีอันตรายถึงชีวิต การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดของทีมวิสัญญี จะป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้

ภาวะแทรกซ้อนอันตรายหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นมี 2 ประเภท คือ ความรุนแรงเล็กน้อยและรุนแรงมาก

ภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงเล็กน้อย อาจเกิดขึ้นบ่อย แต่ไม่เป็นอันตราย ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด เวียนศีรษะ เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เสียชีวิตจากการระงับความรู้สึก การหายใจล้มเหลว หัวใจล้มเหลว โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง(Anaphylaxis) พบน้อยมาก

ทั้งนี้ขึ้นกับสุขภาพและความแข็งแรงของผู้ป่วย ความรุนแรงของโรค และชนิดของการผ่าตัด ตลอดจนการเตรียมผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด กล่าวคือ ถ้ามีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง

 

การปฏิบัติตัว หลัง การได้รับยาสงบประสาททางหลอดเลือดดำ

1. ให้กลับบ้านพร้อมญาติและพักผ่อนภายหลังจากการผ่าตัด
2. ไม่ควรทำกิจกรรมต่างๆ ภายหลังการผ่าตัด และควรอยู่ภายใต้การดูแลของญาติอย่างใกล้ชิดจนกระทั่งหายจากอาการมึนงง ประมาณ 24 ชั่วโมง
3. อาการมึนงง อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการได้รับยาสงบประสาท

– ให้นอนราบสักครู่
– ให้ดื่มน้ำหวานเล็กน้อย

4. ไม่ควรรับประทานอาหารหลักทันที หากรู้สึกหิวให้รับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก,ข้าวต้ม เป็นต้น
5. ไม่ขับยานพาหนะ ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
6. ไม่ใช้ของมีคมหรือเครื่องจักรกล ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
7. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
8. ไม่ทำธุรกรรมหรือสัญญาข้อตกลงใดๆ ภายใน 24 ชั่วโมง
9. หากมีอาการผิดปกติ ให้กลับมาพบแพทย์ก่อนวันนัดหมาย

คำแนะนำการปฏิบัติตัวก่อน-หลัง รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วไป

ศัลยศาสตร์ช่องปาก และทันตกรรมรากเทียม

MU DENT faculty of dentistry

คำแนะนำการปฏิบัติตัวก่อน-หลัง รับการระงับความรู้สึกแบบทั่วไป

รศ.พญ.เบญจมาศ อภิพันธุ์

ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล

การระงับความรู้สึกแบบทั่วไป

คือ การให้ยาระงับความรู้สึกทั่วร่างกาย ทำให้ผู้ป่วยหลับ ปราศจากความกลัวและความวิตกกังวลไม่สามารถจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างการผ่าตัดได้ ด้วยการให้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำและมีการสูดยาดมสลบเข้าทางระบบทางเดินหายใจร่วมด้วย
ทีมวิสัญญี

คือ บุคลากรทางการแพทย์ที่ทำหน้าที่ดูแลผู้ป่วยที่เข้ารับการบริการด้านวิสัญญี ทั้งก่อน ระหว่างและหลังการผ่าตัด ให้ได้รับความปลอดภัยและพึงพอใจในการบริการของหน่วยวิสัญญี บุคลากรกลุ่มนี้คือ วิสัญญีแพทย์,วิสัญญีพยาบาล และผู้ช่วยวิสัญญี

 

คำแนะนำการปฏิบัติตน ก่อน การได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไป

1. งดน้ำ นม เครื่องดื่ม และอาหารทุกชนิด หลัง 24.00 น. หรืออย่างน้อย 8 ชั่วโมง
เพื่อป้องกันอันตรายจากการอาเจียนและสำลักเศษอาหารเข้าหลอดลม/ปอด

2. ท่านต้องแจ้งประวัติโรคประจำตัว ยาที่รับประทานประจำ
เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ยาเบาหวาน ยารักษาโรคความดันโลหิตสูง เป็นต้น รวมถึงวิตามินอาหารเสริม และยาสมุนไพรต่างๆ ให้แพทย์ทราบ และนำยามาในวันผ่าตัด ซึ่งยาบางชนิดต้องรับประทานในเช้าวันผ่าตัดกับน้ำปริมาณเล็กน้อย และยาบางชนิดต้องงด

3. แจ้งการแพ้ยา อาหารหรือสารทุกชนิด การผ่าตัดในอดีต และปัญหาสุขภาพอื่นๆ
ประวัติเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับใช้ในการวางแผนและให้การรักษา

4. ควรงดสูบบุหรี่อย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนผ่าตัด
เพื่อลดเสมหะและลดการไอ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดภาวะแทรกซ้อนของระบบหายใจ

5. ควรล้างสีเล็บ และควรตัดเล็บมือให้สั้น
เพื่อจะวัดค่าออกซิเจนทางปลายนิ้ว และสังเกตความเปลี่ยนแปลงจากการขาดออกซิเจน

6. ในกรณีที่มารับการผ่าตัดบางชนิด ซึ่งไม่ต้องนอนพักค้างคืนในโรงพยาบาล ต้องมีญาติมาด้วย
เพื่อช่วยเหลือในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ เป็นผู้ดูแลระหว่างเดินทางกลับบ้าน และสามารถดูแลท่านได้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง

7. หากตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าตั้งครรภ์
จะต้องแจ้งให้ทีมวิสัญญีทราบ เพราะยาสามารถผ่านรกและอาจเกิดผลเสียต่อทารกได้ ถ้าเป็นการผ่าตัดที่ไม่รีบด่วน ควรจะทำหลังจากคลอดบุตร

8. ถอดฟันปลอมที่ถอดได้/คอนแทคเลนส์/เครื่องประดับทุกชนิด
ฝากเก็บไว้กับญาติ ก่อนไปห้องผ่าตัด ถ้ามีฟันโยกควรแจ้งให้ทีมวิสัญญีทราบ

9. กรณีเจ็บป่วยที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจ
เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีเสมหะ หรือมีน้ำมูก ต้องแจ้งทีมวิสัญญีให้ทราบโดยละเอียด ทั้งนี้ผู้ป่วยต้องหายจากอาการดังกล่าว อย่างน้อย 2 สัปดาห์ จึงจะสามารถให้ยาระงับความรู้สึกโดยมีความเสี่ยงน้อยที่สุด

 

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้

การระงับความรู้สึกแบบทั่วไป มีโอกาสเกิดความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนได้เสมอ การให้ยาแม้เป็นขนาดที่แนะนำ ก็อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ การเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดของทีมวิสัญญี จะป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยได้

ภาวะแทรกซ้อนอันตรายหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นมี 2 ประเภท คือ ความรุนแรงเล็กน้อยและรุนแรงมาก

ภาวะแทรกซ้อนที่มีความรุนแรงเล็กน้อย อาจเกิดขึ้นบ่อย แต่ไม่เป็นอันตราย ได้แก่

– คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ
– เจ็บคอ เสียงแหบ
– ฟันโยก ฟันบิ่น ฟันหัก
– ปัสสาวะลำบาก
– สับสน สะลึมสะลือ หรือมีอาการหลงลืมได้ในระยะแรก
– ปวดหลัง ปวดเมื่อยตามตัวและกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย
– เจ็บปวดแผลผ่าตัดมากกว่าปกติ

 

ภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

เสียชีวิตจากการระงับความรู้สึก เส้นโลหิตในสมองแตก การหายใจล้มเหลว หัวใจล้มเหลว อัมพาตหรือแขนขาอ่อนแรง โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง(Anaphylaxis) พบน้อยมาก ทั้งนี้ขึ้นกับสุขภาพและความแข็งแรงของผู้ป่วย ความรุนแรงของโรค และชนิดของการผ่าตัด การเตรียมผู้ป่วยก่อนการผ่าตัด กล่าวคือถ้ามีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ เบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ก็มีโอกาสที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนมากกว่าผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง

 

การปฏิบัติตัว หลัง การได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไป

1. ฝึกการหายใจ โดยให้ผู้ป่วยหายใจเข้าเต็มที่ช้าๆ และหายใจออกยาวๆ ทันทีที่รู้สึกตัวดีใน 1 – 2 ชั่วโมง โดยให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งหรือศีรษะสูง เพื่อการขยายของทรวงอกได้เต็มที่ จากนั้นสูดหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก แล้วค่อยๆผ่อนออกทางปาก ทำเช่นนี้ประมาณ 5 – 10 ครั้ง ทุกชั่วโมงหลังผ่าตัด จะช่วยให้ปอดขยายตัวและลดภาวะแทรกซ้อนของระบบหายใจ เช่น ภาวะปอดแฟบหลังผ่าตัด หากมีอาการหายใจหอบเหนื่อยให้แจ้งแพทย์ทันที

2. หากมีอาการเจ็บคอ ให้จิบน้ำในปริมาณเล็กน้อย บ่อยครั้ง อาการจะดีขึ้น
ใน 1 – 3 วัน หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีเสียงแหบ ให้แจ้งแพทย์ทันที

3. ขี้ผึ้งที่ใช้ป้ายตาจะหมดไปได้เอง หลังจากที่ล้างทำความสะอาดใบหน้า หากมีอาการตามัวลง มองไม่ชัดเท่าเดิม ให้แจ้งแพทย์ทันที

 

การปฏิบัติตัว หลัง การได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไป (กรณี ไม่ได้ นอนพักรักษาตัวที่ รพ.)

1. ให้กลับบ้านพร้อมญาติและพักผ่อนภายหลังจากการผ่าตัด
2. ไม่ควรทำกิจกรรมต่างๆ ภายหลังการผ่าตัด และควรอยู่ภายใต้การดูแลของญาติอย่างใกล้ชิดจนกระทั่งหายจากอาการมึนงง ประมาณ 24 ชั่วโมง
3. อาการมึนงง อาจเกิดขึ้นภายหลังจากการได้รับยาระงับความรู้สึกแบบทั่วไป

– ให้นอนราบสักครู่
– ให้ดื่มน้ำหวานเล็กน้อย

4. ไม่ควรรับประทานอาหารหลักทันที หากรู้สึกหิวให้รับประทานอาหารอ่อน เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม เป็นต้น
5. ไม่ขับยานพาหนะ ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
6. ไม่ใช้ของมีคมหรือเครื่องจักรกล ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
7. ไม่ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ภายใน 24 ชั่วโมงแรก
8. ไม่ทำธุรกรรมหรือสัญญาข้อตกลงใดๆ ภายใน 24 ชั่วโมง
9. หากมีอาการผิดปกติ ให้กลับมาพบแพทย์ก่อนวันนัดหมาย

ฟันเกิน

ศัลยศาสตร์ช่องปาก และทันตกรรมรากเทียม

MU DENT faculty of dentistry

ฟันเกิน

อ.ทพ.ธีรณัฐ ชัยยะสมุทร

ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่ามนุษย์ทั่วไปจะมีฟันน้ำนม จำนวน 20 ซี่ และ ฟันแท้ 32 ซี่ แต่หากมีจำนวนฟันมากเกินกว่านั้นจะเรียกว่า “ฟันเกิน” โดยที่ฟันเกินนั้นสามารถเกิดขึ้นเพียงซี่เดียวหรือหลายซี่, ตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่งในขากรรไกรก็ได้ โดยจากสถิติแล้วสามารถพบฟันเกินในขากรรไกรบนได้มากกว่าขากรรไกรล่าง ร่วมกับมีอุบัติการณ์การเกิดฟันเกินในเพศชายมากกว่าหญิงประมาณ 2:1 พบในช่วงฟันน้ำนมประมาณ 0.3-0.8% และช่วงฟันแท้ประมาณ 1.5-3.5%1

 

สาเหตุการเกิดฟันเกินปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่มีหลายทฤษฎีที่ได้ถูกกล่าวถึงอย่างเช่น อาจเกิดจากแบ่งตัวที่มากเกินไปของแถบบุผิวต้นกำเนิดฟัน (dental lamina) หรือแม้แต่การแบ่งตัวของหน่อฟันที่ผิดปกติ (Tooth germ dichotomy) แต่อย่างไรก็ตามในการศึกษาของ Rao และ Chidzonga เชื่อว่าสาเหตุของการเกิดฟันเกินนั้นเกิดจากหลายปัจจัยทั้งสภาวะแวดล้อมและพันธุกรรม2ร่วมกัน

 

ฟันเกินส่วนมากมักจะพบร่วมกับความผิดปกติอื่นๆ อย่างปากแหว่งเพดานโหว่หรือพบในกลุ่มอาการของโรคหลายชนิด เช่น Gardner syndrome, Down syndrome, Cleidocranial dysplasia เป็นต้น อย่างไรก็ดีการพบความผิดปกติเฉพาะฟันเกินอย่างเดียวนั้นพบได้น้อย

 

วิธีการตรวจภายในช่องปากและภาพถ่ายรังสีมีความจำเป็นในการวินิจฉัยและระบุตำแหน่งของฟันเกิน โดยในปัจจุบันวิทยาการทางการแพทย์มีการพัฒนาไปอย่างมาก สามารถใช้ภาพถ่ายรังสีคอมพิวเตอร์ สร้างเป็นภาพ 3 มิติ ทำให้สามารถระบุตำแหน่งของฟันเกินได้อย่างแม่นยำ และวางแผนการรักษาได้อย่างเหมาะสม

 

ฟันเกินอาจจะไม่มีอาการแสดงใดๆ เลย และตรวจพบได้โดยบังเอิญจากภาพถ่ายรังสีขณะผู้ป่วยมารับการตรวจสุขภาพฟัน แต่กระนั้นแล้วฟันเกินอาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ได้มากมาย เช่น ฟันเกินงอกขึ้นมาในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม, รบกวนการงอกของฟันซี่อื่นๆ ส่งผลให้ฟันซ้อนเก หรือช่องห่าง, เกิดเป็นฟันเกินคุดเนื่องจากอยู่ในตำแหน่งที่ไม่สามารถงอกขึ้นมาในช่องปากได้ อีกทั้งยังมีโอกาสเกิดเป็นถุงน้ำและเนื้องอกได้อีกด้วย3,4 ทำให้ทันตแพทย์ส่วนมากจึงแนะนำให้ทำการรักษาโดยการผ่าตัดนำฟันเกินออกเมื่อรากฟันข้างเคียงเจริญสมบูรณ์แล้วเพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำภยันตรายให้รากฟันข้างเคียงซึ่งส่งผลให้เกิดการเจริญของรากฟันผิดปกติ ส่วนทางเลือกในการรักษานั้น ทันตแพทย์อาจจะพิจารณานำฟันเกินขึ้นมาในช่องปากแทนที่ฟันธรรมชาติในบางกรณี ทั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือในการรักษาจากทั้งศัลยแพทย์ช่องปากและทันตแพทย์จัดฟันร่วมกัน

 

1. Garvey MT, Barry HJ, Blake M. Supernumerary teeth–an overview of classification, diagnosis and management. J Can Dent Assoc. 1999;65:612-6.
2. Rao PV, Chidzonga MM. Supernumerary teeth:literature review. Cent Afr J Med. 2001;47:22-26.
3. Bayrak S, Dalci K, Sari S. Case report: Evaluation of supernumerary teeth with computerized tomography. Oral Surg Oral Med Oral Pathol Oral Radiol Endod. 2005;100:e65-9.
4. De Oliveira Gomes C, Drummond SN, Jham BC, Abdo EN, Mesquita RA. A survey of 460 supernumerary teeth in Brazilian children and adolescents. Int J Paediatr Dent. 2008;18:98-106.

การปลูกถ่ายฟัน (Tooth transplantation)

ศัลยศาสตร์ช่องปาก และทันตกรรมรากเทียม

MU DENT faculty of dentistry

การปลูกถ่ายฟัน (Tooth transplantation)

อ.ทพ.พฤทธิ์ ชิวปรีชา

ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล

การปลูกถ่ายฟัน

คือ การปลูกถ่ายฟันของตัวผู้ป่วยเองแทนที่ลงในช่องว่างที่มีการสูญเสียฟันไปก่อนกำหนด ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากฟันผุที่ลุกลามมากจนไม่สามารถรักษาได้ ฟันที่ได้รับอุบัติเหตุที่มีการแตกของตัวฟันและรากฟัน จนต้องถอนฟันซี่นั้นไป

ช่องว่างที่เกิดจากการสูญเสียฟันไปนั้นจำเป็นต้องได้รับการทดแทนด้วยฟันปลอมเพื่อให้ผู้ป่วยยังสามารถเคี้ยวอาหารได้อย่างปกติ และเป็นการป้องกันไม่ให้ฟันที่อยู่ข้างเคียงรวมถึงฟันคู่สบล้มและงอกย้อยเข้ามาสู่ช่องว่าง

การปลูกถ่ายฟันจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการรักษาสำหรับการแทนที่ช่องว่างที่เกิดจากการถอนฟันไปแทนการใส่ฟันปลอม

โดยส่วนมากฟันที่จะใช้ในการปลูกถ่ายคือฟันกรามคุด ซึ่งเป็นฟันที่ไม่สามารถขึ้นได้ในช่องปากหรือขึ้นได้ไม่เต็มซี่ ส่วนใหญ่จะเป็นฟันกรามซี่ในสุดของขากรรไกรบนและล่าง ทั้งด้านซ้ายและขวาซึ่งมักจะไม่มีพื้นที่เพียงพอในการขึ้น ส่งผลทำให้เกิดบริเวณที่ไม่สามารถทำความสะอาดได้ หรืออาจมีการพัฒนาของรอยโรคในลักษณะต่างๆ รอบฟันคุด

จากผลเสียต่างๆ ของการเก็บฟันคุดไว้ในระยะยาวทำให้ผู้ป่วยควรได้รับการผ่าตัดฟันคุดออก แต่เมื่อมองถึงประโยชน์อีกด้านของฟันคุด ฟันคุดที่ยังไม่ขึ้นมาในช่องปากเปรียบเสมือนอะไหล่ชั้นดีที่มีคุณภาพที่ราคาถูกที่สุด ในการนำมาทดแทนฟันในตำแหน่งปกติที่ผู้ป่วยถูกถอนไปก่อนเวลาอันสมควร โดยข้อดีของการรักษาวิธีนี้คือ แทนที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการทำฟันปลอม ซึ่งถ้าเป็นฟันปลอมติดแน่นหรือรากฟันเทียมนั้น ราคาจะค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับการใช้ฟันคุดของตัวเราเอง ค่าใช้จ่ายจะถูกกว่ามาก พูดง่ายๆคือ “ ไหนๆ จะต้องผ่าฟันคุดออกแล้วแทนที่จะผ่าทิ้งก็เอามาใช้ซะเลย” ถ้าผลการรักษาสำเร็จ การใช้งานนั้นเทียบเคียงได้กับฟันจริง

ช่วงที่เหมาะสมที่สุดคือช่วงที่รากฟันกรามซี่สุดท้าย(ฟันคุดที่เราจะใช้) ยังไม่มีการปิดของรูเปิดปลายราก นั่นคือก่อนอายุ 20 ปี แต่บางคนอาจจะช้าได้ถึง 25 ปี ทั้งนี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการที่จะมีการงอกของเส้นเลือดในตำแหน่งที่เรานำฟันไปปลูกให้เข้าสู่โพรงในตัวฟันได้ง่ายขึ้น

 

ขั้นตอนและวิธีการปลูกถ่ายฟันคุด

เริ่มตั้งแต่การประเมินขนาดของช่องว่างที่มีการสูญเสียฟันไป ปริมาณของกระดูกที่มีอยู่ ความสะอาดภายในช่องปากของผู้ป่วย สำหรับในส่วนของตัวฟันที่จะนำมาปลูกนั้นจะมีการประเมินทั้งขนาดและความสมบูรณ์ของฟันคุด รวมไปถึงความเหมาะสมระหว่างขนาดของฟันคุดกับช่องว่างที่จะนำไปปลูกว่าเหมาะสมกันหรือไม่ ซึ่งจะต้องมีการตรวจในช่องปากร่วมกับการถ่ายภาพรังสี เพื่อเตรียมความพร้อมและวางแผนให้ดีที่สุดก่อนการผ่าตัด

สำหรับขั้นตอนการทำนั้น คล้ายกับการผ่าตัดฟันคุด ต่างกันตรงที่ใช้เวลาในการผ่าตัดนานกว่า เนื่องจากต้องระมัดระวังและทะนุถนอมฟันที่นำออกมาให้มีสภาพสมบูรณ์มากที่สุด ถ้าผ่าฟันคุดปกติจะมีการแบ่งฟันออกเป็นส่วน เมื่อนำออกมาก็ทิ้งไป แต่ฟันปลูกเราแทบจะต้องอุ้มมันออกมากันเลยทีเดียว และที่ต่างกันอีกส่วนก็คือเราจะต้องเตรียมบริเวณที่จะนำฟันไปปลูก โดยการเตรียมและตกแต่งเบ้าฟันให้มีลักษณะใกล้เคียงกับฟันคุดที่จะนำมาปลูกมากที่สุด

หลังจากการผ่าตัดแล้วนั้น ผู้ป่วยจะต้องได้รับการติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วง 1 อาทิตย์ – 1 เดือนแรกที่ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก หลังจากพ้นช่วง 1 เดือนไป ผู้ป่วยยังคงต้องเข้ารับการติดตามผลอยู่แต่จะมีช่วงเวลาการนัดที่ห่างมากขึ้น

สำหรับการปลูกถ่ายฟันคุดในประเทศไทยมีมานานกว่า 20 ปีแล้ว แต่ส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ในวงแคบเพราะต้องใช้ความชำนาญในการทำสูง อีกทั้งจำเป็นอย่างมากที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้ป่วยในการปฏิบัติตามคำแนะนำและกลับมาติดตามผลการรักษา ซึ่งก็เหมือนการปลูกถ่ายอวัยวะอย่างนึงที่ในช่วงแรกจะมีความสำคัญมากเพราะจะปลูกติดหรือไม่นั้น ต้องอาศัยทั้งความละเอียดตั้งแต่ก่อนการรักษารวมถึงระหว่างขั้นตอนการทำและความร่วมมือจากผู้ป่วย จะว่าไปแล้วผลสำเร็จของการปลูกถ่ายฟันขึ้นกับหมอและผู้ป่วยครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียว

ในส่วนของคณะทันตแพทย์มหิดลนั้นมีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยการปลูกถ่ายฟันมามากกว่า 200 ซี่ ซึ่งในกลุ่มผู้ป่วยที่ให้ความร่วมมือและกลับมาติดตามผลการรักษาตามนัดนั้น อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจมาก

เมื่อคุณฟันคุดจะทำอย่างไร

ศัลยศาสตร์ช่องปาก และทันตกรรมรากเทียม

MU DENT faculty of dentistry

เมื่อคุณฟันคุดจะทำอย่างไร

ศ.ทพ. ณัฐเมศร์ วงศ์สิริฉัตร

ภาควิชาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล

ฟันคุดเกิดจากสาเหตุใด

ฟันคุด คือ ฟันที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ตามปกติ เนื่องจากมีฟันเนื้อเยื่อหรือกระดูกปิดขวางอยู่ มักพบในฟันกรามซี่สุดท้ายและฟันเขี้ยว

 

ถ้าไม่ถอนจะมีอันตรายหรือไม่
ถ้าไม่ถอนฟันคุดออกมีโอกาสทำให้เกิดอันตรายได้ ขึ้นอยู่กับสภาพของฟันและเวลาที่ปล่อยทิ้งไว้ อาจะเกิดอันตรายได้ เช่น

 

1. การอักเสบของเหงือก
เมื่อฟันกรามซี่สุดท้ายขึ้น อาจจะมีการอักเสบของเหงือก เนื่องจากมีการติดเชื้อ มีอาการบวมแดง มีหนอง ทำให้ปวด มีไข้ และเจ็บคอ กลืนน้ำลายลำบาก และอ้าปากไม่ได้

 

2. ฟันซ้อนเก
ทำให้ปวดเนื่องจากมีแรงดันของฟันคุดไปดันซี่ข้างเคียง หรือกดบนเส้นประสาทที่อยู่ในขากรรไกรล่างและฟันคุด ซึ่งขึ้นชนฟันที่อยู่ข้างเคียงจะทำให้ฟันหน้าซ้อนเกได้

 

 

3. ถุงน้ำรอบฟันคุด

ทำให้เกิดโรคถุงน้ำและอาจเปลี่ยนเป็นเนื้องอกที่เรียกว่า “มะเร็งกรามช้าง” ซึ่งพบว่ามีสาเหตุเกิดจากฟันคุดถึง 33 % ถุงน้ำจะทำให้ฟันเคลื่อนที่ผิดจากตำแหน่งเดิมและละลายกระดูกรอบฟัน ซึ่งอาจจะเป็นอันตรายต่อฟันและเหงือกรอบๆ นั้นได้

 

 

4. ฟันข้างเคียงผุ
ฟันคุดซี่สุดท้ายที่ขึ้นชนฟันกรามซี่ติดกัน มักทำให้เกิดกลิ่นปากและฟันข้างเคียงผุ เนื่องจากมีเศษอาหารติดระหว่างฟันคุดและฟันข้างเคียง เนื่องจากทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง

 

 

การถอนฟันคุด ทำอย่างไร
เนื่องจากฟันคุดเป็นฟันที่มีฟันเนื้อเยื่อหรือกระดูกปิดขวางอยู่ จึงไม่สามารถใช้คีมจับถอนได้อย่างฟันปกติ จึงต้องใช้วิธี ผ่าเหงือก ตัดกระดูก และตัดฟันออกทีละชิ้น จึงสามารถเอาฟันคุดออกมาได้ทั้งหมด โดยไม่ทำอันตรายต่อฟันข้างเคียง หรือส่วนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงบริเวณนั้น

 

ข้อปฏิบัติหลังผ่าตัดฟันคุด
1. กัดผ้าก๊อตให้แน่นพอสมควรไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นเอาผ่าก๊อตออก
2. ถ้าเลือดไหลไม่หยุด ห้ามอมน้ำแข็ง ควรใช้น้ำแข็งใส่ถุงพลาสติกและห่อผ้ามาประคบนอกปากบริเวณที่ผ่าตัดฟันคุด
3. แปรงฟันได้ตามปกติในวันรุ่งขึ้น แต่ต้องระวังไม่ให้แปรงฟันแรงๆ ตรงแผลผ่าตัด
4. ควรรับประทานอาหารอ่อนๆ หลังผ่าตัด
5. ถ้าปวดให้รับประทานยาแก้ปวดตามที่ทันตแพทย์แนะนำ
6. ถ้ามีอาการผิดปกติให้รีบมาพบทันตแพทย์
7. ถ้ามีการเย็บแผลต้องกลับมาตัดไหมภายใน 7 วัน หลังผ่าตัด

ทันตกรรมรากเทียม

ศัลยศาสตร์ช่องปาก และทันตกรรมรากเทียม

MU DENT faculty of dentistry

ทันตกรรมรากเทียม

รศ.ดร.ทพ.ชูชัย อนันต์มานะ

ภาควิชาทันตกรรมประดิษฐ์

รากฟันเทียมคืออะไร ?
รากฟันเทียม คือ วัสดุที่ฝังลงบนกระดูกขากรรไกร เพื่อทดแทนส่วนที่เป็นรากฟันของฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป

 

วัสดุที่ใช้ทำรากฟันเทียม
รากฟันเทียมโดยทั่วไปแล้วจะผลิตจากโลหะผสมไททาเนียม เนื่องจากมีความแข็งแรงและสามารถเข้ากับเนื้อเยื่อของร่างกายได้ดี

 

รากฟันเทียมเหมาะกับใครบ้าง ?
รากฟันเทียม สามารถทำได้กับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 21 ปี ขึ้นไป มีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะรับการผ่าตัดในช่องปากได้อย่างปลอดภัยในกรณีวัยรุ่นจะยังมีการเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกร จึงจำเป็นต้องรอให้ขากรรไกรหยุดการเจริญเติบโตก่อน จึงจะสามารถใส่รากฟันเทียมได้

 

ข้อดีของรากฟันเทียม

– ในกรณีที่ทำเพื่อแทนฟันที่ถอนไปบางซี่จะไม่มีการสูญเสียเนื้อฟันธรรมชาติของฟันข้างเคียงที่เหลืออยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับการทำสะพานฟัน
– ในกรณีที่ทำเป็นฟันเทียมชนิดถอดได้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดติดของฟันเทียมในช่องปาก
– คล้ายฟันธรรมชาติ (ใช้งานและสวยงามใกล้เคียงฟันธรรมชาติ)

 

ข้อเสียของรากฟันเทียม

– ค่าใช้จ่ายสูง และถ้าหากผู้ป่วยมีกระดูกไม่แข็งแรง หรือไม่เพียงพอก็ต้องมีการผ่าตัดและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
– การผ่าตัดฝังรากฟันเทียมอาจจะต้องมีการผ่าตัดหลายครั้ง
– ใช้ระยะเวลาในการรักษาจนเสร็จสมบูรณ์นานกว่าการทำสะพานฟันปกติ เนื่องจากต้องแบ่งการรักษาเป็น 2 ระยะ โดยการทำรากฟันเทียมจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 2 – 3 เดือน

 

ขั้นตอนทั่วไปของการรักษาด้วยรากฟันเทียม

– พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสภาพฟันต่างๆ ภายในช่องปากและพิมพ์ปากเพื่อนำมาวางแผนการรักษา
– ถ่ายภาพรังสีเพื่อประเมินสภาพกระดูกและโครงสร้างอื่น เช่น เส้นประสาท โพรงอากาศของคนไข้
– ฝังรากฟันเทียมและรอไปอีกอย่างน้อย 2 – 3 เดือน เพื่อให้เกิดการยึดติดของรากฟันเทียมกับกระดูก
– ทำครอบฟัน สะพานฟัน หรือฟันเทียมชนิดอื่น

 

การดูแลรักษา

หลังการปลูกรากฟันเทียมสามารถดูแลและรักษาสุขภาพของปากและฟันได้เหมือนการดูแลปกติทั่วไป และทำความสะอาดเป็นพิเศษ บริเวณที่ทำการปลูกรากฟันเทียมและบริเวณเหงือกโดยรอบ ด้วยแปรงขัดที่มีลักษณะพิเศษ ขนาดเล็กและควรเข้ารับการตรวจช่องปากกับทันตแพทย์เป็นประจำ
การรักษาด้วยการฝังรากเทียมนี้ หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและเข้ารับการตรวจสภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ ฟันทดแทนก็สามารถมีอายุการใช้งานเสมือนหนึ่งฟันแท้ซี่อื่นๆ เช่นกัน