Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors

พฤติกรรมที่ส่งผลร้ายต่อฟันที่คุณรัก

MU DENT faculty of dentistry

พฤติกรรมที่ส่งผลร้ายต่อฟันที่คุณรัก

ผศ.ร.ท.ทพ. ชัชชัย คุณาวิศรุต

ภาควิชาทันตกรรมทั่วไปขั้นสูง

1. การใช้ฟันเป็นเครื่องมือ
หลายคนใช้ฟันเป็นเครื่องมือในการเปิดขวดหรือเศษถุงฉีกขาดเทปพลาสติก, ตัดป้ายราคาเสื้อผ้าออก เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะฟันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการบดเคี้ยวอาหารเท่านั้น การใช้ฟันผิดหน้าที่ เช่น นำไปกัดหรือฉีกถุงพลาสติก อาจทำให้ฟันหน้าบิ่นหรือแตกหักเสียหายได้

 

2. เคี้ยวน้ำแข็ง
น้ำแข็งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันแข็ง ถึงจะเคี้ยวแล้วมันจะได้ความกรุบกรอบ สนุกสนาน แต่อาจทำให้ฟันที่ใช้เคี้ยวน้ำแข็งเกิดอาการฟันร้าว นำไปสู่การเสียวฟัน และปวดฟัน หรือในบางรายที่ไม่มีอาการดังกล่าวอาจจะทำให้ฟันสึกมากและเร็วกว่าปกติ รวมถึงทำให้ฟันแตกหัก จนต้องถอนฟันได้

 

3. ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวจัด
อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวมีความเป็นกรดสูง และความเป็นกรดนี้จะทำให้เนื้อฟันบริเวณที่สัมผัสมีลักษณะอ่อนนุ่มลง และจะทำให้ฟันสึกมากกว่าปกติได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าหรือบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าตามทันทีเพื่อลดระยะเวลาที่อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว และไม่ควรแปรงฟันทันทีเพราะเนื้อฟันยังมีลักษณะนิ่มหลังจากสัมผัสกับกรด การแปรงฟันทันทีอาจส่งผลให้ฟันึกเร็วขึ้น

 

4. การใช้ไม้จิ้มฟัน
การใช้ไม้จิ้มฟันบ่อยๆ และใช้แบบผิดวิธี อาจทำให้ฟันห่างขึ้น และเป็นอันตรายต่อเหงือกควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดระหว่างซอกฟันหรือแปรงซอกฟัน

 

5. กัดเล็บ
การกัดเล็บนอกจากจะทำให้เล็บไม่สวยและเสียบุคลิกภาพนอกจากนี้ตามซอกเล็บยังมีสิ่งสกปรกซ่อนอยู่ ดังนั้นการกัดเล็บอาจเป็นหนทางทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้

 
 
 

6. ดูดนิ้วหัวแม่มือ
การดูดนิ้วหัวแม่มือในเด็ก จะส่งผลต่อการขึ้นของฟัน ทำให้ฟันขึ้นในตำแหน่งที่ผิดปกติ เนื่องจากนิ้วหัวแม่มือไปดันฟันไว้ และทำให้เกิดความผิดปกติของกระดูกใบหน้าขากรรไกรได้

 

7. การสูบบุหรี่จัด การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการเคี้ยวหมาก
การสูบบุหรี่และการเคี้ยวหมาก จะทำให้มีคราบสกปรกติดแน่นในช่องปาก ทำให้มีคราบหินน้ำลายมาเกาะได้ง่ายและนำไปสู่การเป็นโรคเหงือก โรคปริทันต์และสูญเสียฟันต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคมะเร็งในช่องปากอีกด้วย การดื่มการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลให้คนไข้ลืมหรือไม่ใส่ใจในการทำความสะอาดช่องปากและมีผลเสียกับสุขภาพร่างกายอีกด้วย

 

8. ดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป
น้ำอัดลมมีความเป็นกรดเช่นเดียวกับน้ำมะนาว การดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ จะทำให้เนื้อฟันมีลักษณะนิ่ม มีการสึกที่เร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ ในน้ำอัดลมยังมีน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญต่อการเกิดฟันผุอีกด้วย

 

9. การนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัว
สาเหตุของการนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัวยังไม่เป็นที่แน่ชัด ความเครียดอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนกัดฟันได้ วิธีการป้องกันคือการใส่เฝือกสบฟันในขณะนอนเพื่อช่วยลดการสึกของฟันและป้องกันการเกิดอันตรายต่อกล้ามเนื้อใบหน้าและข้อต่อขากรรไกร

 

ท่านผู้อ่านท่านใดที่มีพฤติกรรมดังที่กล่าวมาขอให้เลิกเสียตั้งแต่วันนี้ … เพราะพฤติกรรมข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายแต่ฟันที่คุณรัก หันมาใส่ใจและทะนุถนอมฟันของเรากันดีกว่า ด้วยการทำความสะอาดฟัน ด้วยการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันทุกๆ 6 เดือน เราจะได้มีฟันสวยๆ อย่าคู่กับเราไปตลอดชีวิต

 

ความผิดปกติของการสบฟันในผู้ป่วยวัยเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

ความผิดปกติของการสบฟันในผู้ป่วยวัยเด็ก

อ.ทพ.พงศธร พู่ทองคำ

ภาควิชาทันตกรรมจัดฟัน

การสบฟันลึก หมายถึง ระยะเหลื่อมแนวดิ่งที่ฟันหน้ามากกว่า 1/3 ของความสูงของฟันหน้าล่าง สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะฟันน้ำนมและระยะฟันชุดผสม (ช่วงที่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบและยังมีฟันน้ำนมเหลืออยู่) ในการรักษาจะอาศัยการแก้ไขด้วยเครื่องมือทันตกรรมจัดฟันชนิดถอดได้ หรือเครื่องมือฟังก์ชันนอล เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรล่าง

การสบฟันเปิด ที่พบได้บ่อย มักพบที่ฟันหน้าบนล่างไม่สบกัน โดยส่วนใหญ่เกิดจากการดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ โดยในการรักษาควรให้ฝึกวางตำแหน่งลิ้นให้กลืนอย่างถูกต้อง ร่วมกับการใช้เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ โดยอาจเป็นเครื่องที่ช่วยในการขยายขากรรไกร หรือเป็นเครื่องมือจัดฟันชนิดติดแน่น

 

ฟันสบคร่อม หมายถึง ลักษณะที่ฟันล่างสบคร่อมฟันบน (โดยปกติฟันบนจะสบคร่อมฟันล่าง) พบได้ทั้งในฟันหน้าและฟันหลัง ฟันสบคร่อมควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ด้วยการใส่เครื่องมือถอดได้ที่ติดสปริงหรือสกรูและเพลทเพื่อยกฟันหลัง และสามารถดันฟันที่สบคร่อมออกมา หรืออาจใช้ร่วมกับเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นก็ได้

 

ฟันซ้อนเก มักพบในระยะฟันชุดผสม ฟันแท้ที่ขึ้นมาทดแทนจะมีขนาดใหญ่กว่าฟันน้ำนมที่หลุดออกไป ฟันจึงขึ้นมาเบียดซ้อนกัน หรือเกิดจากการสูญเสียฟันน้ำนมบางซี่ไปก่อนกำหนด ทำให้ฟันข้างเคียงเคลื่อนที่เข้ามาแทน การรักษาขึ้นอยู่กับการตรวจวินิจฉัยโดยทันตแพทย์ว่าควรทำเลยหรือรอจนฟันแท้ขึ้นจนครบได้

 

คราวนี้ทุกคนก็พอจะทราบแล้วว่าลักษณะการสบฟันที่ผิดปกติในวัยเด็กเป็นอย่างไร สาเหตุหลักๆ มักมีด้วยกัน 3 ประการ

1. จากการมีลักษณะนิสัยการดูดนิ้ว, การกลืนที่ผิดปกติ ซึ่งเรื่องนี้คุณแม่คุณพ่อก็ต้องดูกันตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ กันเลย
2. การดูแลฟันน้ำนมไม่ถูกต้อง ทำไมต้องดูแลฟันน้ำนมให้ดี เพราะฟันน้ำนมนอกจากจะมีไว้บดเคี้ยวตามธรรมชาติ ช่วยในการออกเสียงแล้วยังเป็นผู้ดูแลช่องว่างเตรียมไว้ให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมาทดแทนด้วย ถ้าเสียฟันน้ำนมไปก่อนเวลาอันควรช่องว่างสำหรับฟันแท้จะมีไม่พอ เกิดปัญหาฟันซ้อนเกตามมาได้
3. สาเหตุจากกรรมพันธุ์ ไม่เพียงแต่มีผลเฉพาะกับฟัน เช่น ลักษณะรูปร่างของฟัน ขนาดฟัน จำนวนฟัน เท่านั้น ยังส่งผลต่อลักษณะของโครงหน้าอีกด้วย เช่น หน้ากลม หน้ารูปไข่ หน้าเหลี่ยม คางสั้น คางยื่น เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจประเมิน วินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสมจากทันตแพทย์เฉพาะทางสาขา ทันตกรรมจัดฟัน

 

รู้…ก่อนจัดฟัน

MU DENT faculty of dentistry

รู้…ก่อนจัดฟัน

ผศ.ดร.ทพญ. ศศิภา ธีรดิลก

ภาควิชาทันตกรรมทั่วไปขั้นสูง

การจัดฟัน คืออะไร
การจัดฟัน คือ งานสาขาหนึ่งทางทันตกรรมที่ให้การรักษาความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันและการสบฟันในช่องปาก โดยการจัดฟันจะมีการเคลื่อนที่ของฟันไปยังตำแหน่งใหม่ เพื่อเรียงฟันให้ดีขึ้นและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม นอกจากนี้ทันตแพทย์จัดฟันจะทำการวิเคราะห์ วินิจฉัย วางแผนป้องกัน และรักษา ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งและขนาดของขากรรไกร ตลอดจนความสัมพันธ์ของขากรรไกรกับใบหน้าด้วย

 

ทำไมจึงต้องจัดฟัน
การจัดฟันเป็นการให้การรักษา เพื่อให้ฟันมีการเรียงตัวที่ตรงขึ้น มีการสบฟันที่ดีขึ้น เพื่อให้การบดเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพ อาจลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฟันผุหรือโรคเหงือก อันเนื่องมาจากความลำบากในการทำความสะอาดฟันและเหงือกในบริเวณที่ฟันเรียงตัวผิดปกติและซ้อนเกและยังอาจช่วยเสริมบุคลิกภาพจากการที่มีฟันเรียงกันสวยงาม

 

ควรจัดฟันเมื่ออายุเท่าไหร่
การจัดฟันเป็นการที่ทันตแพทย์จัดฟันเคลื่อนที่ฟันไปที่ตำแหน่งใหม่ ในระหว่างการเคลื่อนที่ของฟันกระดูกที่รองรับฟันและที่อยู่รอบๆรากฟันจะมีการทำลายและมีการสร้างตัวใหม่ (รูปที่ 6)ดังนั้นในผู้ป่วยเด็ก จะมีความสามารถของกระบวนการสร้างเสริมกระดูกรอบๆรากฟันรวดเร็วและดีกว่าในผู้ป่วยผู้ใหญ่ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเด็กที่ฟันน้ำนมหลุดออกไปหมดแล้วเริ่มมารับการรักษาทางการจัดฟัน ซึ่งผู้ป่วยเด็กกลุ่มนี้จะมีอายุประมาณ 11-12 ปี แล้วแต่บุคคล ในผู้ป่วยเด็กจึงมักจะใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าในผู้ป่วยผู้ใหญ่

สำหรับผู้ป่วยเด็กที่ไปพบทันตแพทย์เด็กสม่ำเสมอ ก็จะได้รับการตรวจดูแลสภาพช่องปากเป็นประจำ และเมื่อทันตแพทย์เด็กตรวจพบความผิดปกติใดๆของการสบฟัน ก็จะมีการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อขอรับคำแนะนำจากทันตแพทย์จัดฟันต่อไป

 

การเตรียมตัวก่อนจัดฟัน
การมีเครื่องมือจัดฟันติดอยู่บนผิวฟัน เมื่อรับประทานอาหารก็จะมีเศษอาหารติดที่เครื่องมือจัดฟัน (รูปที่ 8) และระหว่างเครื่องมือกับผิวฟันได้ง่ายขึ้น ก่อนการติดเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น ทันตแพทย์จัดฟันจะส่งตัวผู้ป่วยให้ไปทำความสะอาดช่องปากโดยการขูดหินปูน รวมถึงการอุดฟันที่ผุทั้งช่องปากให้เรียบร้อยก่อนมาติดเครื่องมือจัดฟัน เพราะถ้าผู้ป่วยมีฟันผุและดูแลสภาพช่องปากของตนเองได้ไม่ดี การติดเครื่องมือติดแน่นในช่องปากจะทำให้การผุลุกลาม รวดเร็วขึ้นและโรคเหงือกจะเป็นรุนแรงมากขึ้น ทำให้เกิดเหงือกทั่วไปในช่องปากอักเสบมากได้

 

การดูแลสุขภาพช่องปากระหว่างการจัดฟัน
เมื่อมีเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นในช่องปาก การรับประทานอาหารแต่ละครั้ง จะมีเศษอาหารติดที่เครื่องมือและที่รอยต่อระหว่างเครื่องมือจัดฟันและผิวฟันได้ง่าย เมื่อได้รับการรักษาจัดฟัน ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องดูแลทำความสะอาดฟันและเหงือกของตนเองให้ดีกว่าการดูแลฟันปกติ คือ ต้องแปรงฟันหลังการรับประทานอาหารทุกครั้ง ให้ใช้อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้แก่ แปรงซอกฟันขนาดเล็ก (รูปที่ 9) โดยหลังจากการแปรงฟันปกติ ต้องใช้แปรงซอกฟันขนาดเล็กทำความสะอาดที่รอบๆ ฐานbracketและตรงรอยต่อที่ติดกับผิวฟันด้วย ต้องใช้ไหมขัดฟัน โดยให้ร้อยไหมขัดฟันเข้าไปใต้ลวดจัดฟันและทำความสะอาดที่ซอกระหว่างฟันด้วย

 

หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้วต้องทำอย่างไรต่อไป
หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นแล้ว ยังต้องใส่เครื่องมือคงสภาพฟันซึ่งเป็นเครื่องมือแบบถอดได้ต่อไปอีก โดยให้ใส่ตลอดเวลาทั้งวันและใส่ตอนนอน ถอดออกเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารและแปรงฟัน อย่างน้อย 6 เดือน หลังจากนั้นให้ใส่เครื่องมือคงสภาพฟันเฉพาะตอนนอน อีกประมาณ 2-3 ปี เพื่อให้ฟันที่ได้จัดเรียบร้อยแล้วคงสภาพเรียงตรงอยู่ได้

ไขปัญหาระหว่างการจัดฟัน

MU DENT faculty of dentistry

ไขปัญหาระหว่างการจัดฟัน

อ.ทพ.ดร.ณัฐพล ตั้งจิตร

ภาควิชาทันตกรรมจัดฟัน

1. จัดฟันแล้วพูดไม่ชัด,น้ำลายหก เกิดจากสาเหตุใด

Ans : ในระยะแรกที่เริ่มติดเครื่องมือจัดฟันไป ผู้ป่วยส่วนมากจะพบปัญหาการพูดไม่ชัด บางคนถึงขั้นน้ำลายหกโดยไม่รู้สึกตัว เนื่องจากผู้ป่วยยังไม่ชินกับอุปกรณ์ที่ทันตแพทย์ติดที่ผิวฟัน รวมทั้งลวด อุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มีผลทำให้ขัดขวางการออกเสียง หรือปิดปากได้ไม่สนิท แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไป หลังจากที่ผู้ป่วยเริ่มปรับตัวได้โดยที่ร่างกายเราจะปรับตัวได้เอง ซึ่งระยะเวลาในการปรับตัวนั้นช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ เพราะฉะนั้นคนที่เริ่มจัดฟันไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับ หลังจากติดเครื่องมือไปใหม่ๆ พยายามจิบน้ำเปล่าบ่อยๆ ไม่ให้ปากแห้ง จะช่วยลดการเสียดสีของเครื่องมือกับริมฝีปากและกระพุ้งแก้มได้ ป้องกันการเป็นแผลในช่องปากและช่วยให้เราปรับตัวกับเครื่องมือได้ง่ายขึ้น

 

2. จัดฟันแล้วมีปัญหากลิ่นปาก

Ans : ปัญหากลิ่นปากเกิดจากการที่มีเศษอาหารตกค้างอยู่ภายในช่องปากเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ติดเครื่องมือจัดฟันไป จะทำให้เศษอาหารตกค้างได้ง่ายกว่าปกติ และทำความสะอาดได้ยาก ดังนั้นระหว่างที่จัดฟันอยู่จำเป็นต้องดูแลทำความสะอาดฟันให้มากกว่าปกติ แปรงฟันทุกครั้งหลังทานอาหารและก่อนนอน ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันที่ออกแบบมาสำหรับคนที่กำลังจัดฟัน นอกจากนี้อาจใช้ร่วมกับแปรงซอกฟันและน้ำยาบ้วนปากหลังจากที่แปรงฟันเสร็จแล้ว หลังจากแปรงฟันเสร็จ อย่าลืมแปรงลิ้นด้วยนะครับ เพราะลิ้นเป็นอีกแห่งที่มีการสะสมของคราบจุลินทรีย์ได้ง่าย นอกจากนี้หมั่นไปตรวจสุขภาพช่องปากและรับการขูดหินปูนเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

 

3. เผลอกลืนอุปกรณ์จัดฟันลงคอ ควรทำอย่างไร

Ans : ในบางครั้งอาจมีการหลุดของอุปกรณ์จัดฟันอย่างเช่น แบร็คเก็ต ยางจัดฟัน ผู้ป่วยบางรายอาจเผลอกลืนลงไป แต่ไม่ต้องกังวลครับ เนื่องจากอุปกรณ์จัดฟันทำมาจากวัสดุที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ยกเว้นอุปกรณ์ที่ติดกับหมอเถื่อน ไม่ทราบแหล่งที่มาของอุปกรณ์ได้แน่ชัด อันนี้หมอไม่รับประกันนะครับ โดยปกติหลังจากกลืนลงคอไปแล้ว ร่างกายจะกำจัดออกมาทางการขับถ่ายตามปกติ คำแนะนำจากหมอคือพยายามปฏิบัติตามที่ทันตแพทย์บอก หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีลักษณะแข็ง เหนียว หรือชิ้นใหญ่จนเกินไป เพราะจะทำให้อุปกรณ์จัดฟันหลุดได้ นอกจากมีโอกาสกลืนลงคอได้ ยังทำให้การรักษาไม่คืบหน้า ส่งผลให้การรักษาใช้เวลาที่นานขึ้น

 

4. เหล็กจัดฟันชอบหลุดต้องรอให้ถึงกำหนดนัดหรือไม่

Ans : ในกรณีที่สามารถพบทันตแพทย์จัดฟันได้เร็วกว่ากำหนดนัด ก็แนะนำให้ไปพบได้ก่อนเพื่อให้คุณหมอตรวจและแก้ไขแต่เนิ่นๆ เพราะว่าการที่เหล็กจัดฟันหลุดบ่อยจะมีผลให้การรักษาไม่คืบหน้าและต่อเนื่อง หากเหล็กจัดฟันหลุดในตำแหน่งฟันซี่สุดท้าย มักจะทำให้ปลายลวดทิ่มที่กระพุ้งแก้มเป็นแผลได้ ทางที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่มีผลให้เหล็กจัดฟันหลุดได้ง่าย เช่น การรับประทานอาหารที่แข็งเกินไป หรือมีลักษณะเหนียว เช่น น้ำแข็ง ท้อฟฟี่ ถั่ว ผลไม้ดิบ เป็นต้น แนะนำให้หั่นอาหารเป็นชิ้นเล็กพอคำก่อนทาน แปรงฟันไม่แรงจนเกินไป ระวังปลายหัวแปรงกระแทกกับเหล็ก หรือการใช้ไม้จิ้มฟันไม่ระวังซึ่งอาจทำให้เหล็กจัดฟันหลุดได้

 

5. ลวดทิ่มแก้มหรือเหงือกจนเป็นแผลทำอย่างไรดี

Ans : หากปลายลวดยื่นออกมาไม่มากนัก แนะนำใช้ขี้ผึ้งที่ได้รับจากทันตแพทย์จัดฟัน ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ แล้วแปะทับไปที่ลวดหรือเครื่องมือที่แหลมคม แต่ถ้าปลายลวดยื่นออกมามาก หรือปลายลวดหลุดออกมาจากเหล็กจัดฟัน ให้รีบไปพบแพทย์ที่เรารักษาอยู่ เพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที

 

6. ยางรัดลวดจัดฟันสีสันมีประโยชน์อะไรหรือไม่

Ans : สีสันต่างๆของยางจัดฟัน ไม่ได้มีผลต่อการรักษา เพราะทำมาจากวัสดุชนิดเดียวกัน คุณสมบัติเหมือนกัน เพียงแต่ใส่สีเพื่อความสวยงาม และมีความหลากหลาย กระตุ้นให้ผู้ป่วยอยากมาเปลี่ยนสียางในทุกๆ เดือน แต่ในบางคนที่อยู่ในวัยทำงานหรือผู้ชายมักจะไม่นิยมสีสัน ไม่อยากให้ดูเด่นจนเกินไป ก็มักจะเลือกสียางที่เป็นสีใส สีเหมือนฟันหรือสีเงินกลมกลืนไปกับเหล็กจัดฟัน

 

7. จัดฟันบนหรือฟันล่างอย่างเดียวได้ไหม เพราะอะไร

Ans : ในกรณีที่จัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติเพียงซี่ สองซี่ สามารถจัดฟันแค่ฟันบนหรือฟันล่างอย่างเดียวได้ แต่โดยทั่วไปแล้วเราจะจัดฟันทั้งฟันบนและฟันล่างเพื่อให้มีการสบฟันที่ดี สบฟันได้สนิท ส่งผลให้ระบบการเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพ กระจายแรงบดเคี้ยวไปที่ฟันทุกๆ ซี่ ลดปัญหาฟันสึก ประสาทฟันอักเสบ รวมไปถึงป้องกันการเกิดโรคข้อต่อขากรรไกรได้

 

8. ถ้าต้องย้ายที่อยู่หรือต้องการเปลี่ยนหมอควรทำอย่างไร

Ans : อันดับแรกคือต้องไปปรึกษาหมอที่จัดฟันให้เราอยู่ก่อนว่าเราไม่สะดวกจัดฟันต่อ ขอให้คุณหมอช่วยเขียนหนังสือส่งตัว หรือหนังสือย้ายเคส พร้อมทั้งขอแบบพิมพ์ฟันก่อน / ระหว่างการรักษา ฟิลม์เอ็กซเรย์ รูปถ่ายและประวัติการรักษา เพื่อให้คุณหมอที่จะรับทำต่อ สามารถวางแผนการรักษาต่อไปได้ ตามปกติแล้ว จะไม่แนะนำให้ย้ายเคสโดยไม่มีเหตุจำเป็น เพราะทำให้การรักษาเสียเวลานานขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ต้องเริ่มจ่ายใหม่ อีกทั้งหาคุณหมอที่จะรับเคสต่อได้ยาก ดังนั้นก่อนการจัดฟัน เราต้องวางแผนให้ดีก่อนว่าจะสามารถมาทำการรักษากับคุณหมอท่านนั้นได้ต่อเนื่องตลอดการรักษาได้หรือไม่

 

9. หลังจากที่จัดเสร็จฟันจะมีสภาพเรียงตัวเช่นนี้ได้นานเท่าใด ตลอดชีวิตหรือไม่

Ans : การเรียงตัวของฟันหลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้วจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน หรือเรียกว่า รีเทนเนอร์ (Retainer) เพราะหลังจากจัดฟันแล้ว ฟันจะมีแนวโน้มเคลื่อนกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมก่อนการจัดจากแรงของเนื้อเยื่อภายในช่องปาก จึงจำเป็นต้องใส่รีเทนเนอร์จนกว่าเนื้อเยื่อต่างๆ ภายในช่องปากจะปรับตัวเข้าสู่สมดุลภายใต้สภาพการเรียงตัวของฟันใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจัดฟันเสร็จ ส่วนระยะเวลาในการใส่รีเทนเนอร์ของแต่คนละคนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์จัดฟันผู้ให้การรักษา ซึ่งโดยปกติจะใส่รีเทนเนอร์อย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป

การแปรงฟันอย่างถูกวิธี

MU DENT faculty of dentistry

การแปรงฟันอย่างถูกวิธี

อ.ทพ.คมสัน ลาภาอุตย์

ภาควิชาทันตกรรมชุมชน

1. ฟันด้านนอก

– วางขนแปรงเข้าหาฟันให้ปลายขนแปรงอยู่บริเวณขอบเหงือก
โดยเอียงทำมุม 45 องศา กับตัวฟันและขนานกับแนวฟัน
– ขยับขนแปรงไปมาในแนวหน้าหลัง เป็นระยะสั้นๆ ไม่เกินครึ่งซีฟัน
– ปัดขนแปรงขึ้นในฟันล่างและปัดลงสำหรับฟันบน
– ในแต่ละตำแหน่งควรแปรงประมาณ 10 ครั้ง

2. ฟันด้านใน

– วางขนแปรงบริเวณขอบเหงือกและแปรงฟัน
เช่นเดียวกับการแปรงฟันด้านนอก

3. ฟันด้านบดเคี้ยว

– วางขนแปรงบริเวณด้านบดเคี้ยวของฟัน
โดยวางแปรงให้หน้าตัดขนแปรงอยู่ด้านบนของฟันบดเคี้ยว
ถูไปมาในแนวหน้าหลังทั้งฟันบนและฟันล่าง

4. ฟันหน้าด้านใน

– วางแปรงสีฟันในแนวตั้ง
ใช้ปลายแปรงสีฟันแปรงด้านหลังของฟันหน้าแต่ละซี่
โดยขยับและปัดปลายขนแปรงมาทางปลายขอบฟัน
ทั้งฟันหน้าบนและฟันหน้าล่าง

5. แปรงลิ้น

– อย่าลืมแปรงที่ลิ้นเพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นปาก
โดยการปัดขนแปรงสีฟัน จากโคนลิ้นมาทางปลายลิ้นประมาณ 10 ครั้ง

 

ใช้ไหมขัดฟันอย่างไรให้ฟันสะอาดยิ่งขึ้น ?

1. ดึงไหมขัดฟันออกมา ความยาวประมาณ 18 นิ้ว ให้พันที่นิ้วกลาง ทั้ง 2 ข้าง ดึงให้ไหมขัดฟันตึง

2. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับไหมขัดฟันแล้วค่อยๆ เลื่อนเส้นไหมลงระหว่างซอกฟัน

3. โอบไหมขัดฟันรอบตัวฟันแต่ละซี่และเลื่อนเส้นไหมลงใต้เหงือกแล้วเคลื่อนไหมขึ้นไปทางปลายฟัน ทำซ้ำ 4 – 5 ครั้ง

 

แปรงสีฟัน ยาสีฟัน

– ควรเลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม
– เลือกยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์
– แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ตอนเช้าและก่อนนอน
– การแปรงฟันควรใช้เวลาอย่างน้อยครั้งละ 2 นาที
– ควรเปลี่ยนแปรงสีฟันทุก 3 เดือน

 

น้ำยาบ้วนปากจำเป็นหรือไม่ ?

สำหรับการดูแลสุขภาพช่องปากนั้น
นอกเหนือจากการทำความสะอาดเศษอาหารที่ตกค้าง
อยู่ในช่องปากโดยการใช้ไหมขัดฟันและการแปรงฟันที่ถูกวิธีแล้ว
ยังควรมีการเสริมสร้างความแข็งแรงของฟันโดยการ
ใช้น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์
ก็จะสามารถลดโอกาสในการเกิดปัญหาต่างๆ ของสุขภาพช่องปากได้

ข้อควรปฏิบัติก่อนการรักษาทางทันตกรรม

MU DENT faculty of dentistry

ข้อควรปฏิบัติก่อนการรักษาทางทันตกรรม

อ.ทพ.คมสัน ลาภาอุตย์

ภาควิชาทันตกรรมชุมชน

8 ข้อแนะนำที่ควรปฏิบัติก่อนการรักษาทางทันตกรรม

ควรแปรงฟันให้สะอาดก่อนที่จะพบกับทันตแพทย์
ผู้ป่วยหลายๆ คนอาจจะเตรียมตัวมาแล้วในเบื้องต้น
เพราะอาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจ อาย กลัวว่ามีกลิ่นปาก
หรือกลิ่นบุหรี่ ผู้ป่วยที่เตรียมตัวมาแล้วจะมีข้อดีอีกข้อคือทันตแพทย์
จะได้ตรวจและประเมินด้วยว่าถ้าผู้ป่วยแปรงอย่างดีที่สุดแล้ว
ยังมีตำแหน่งไหนที่ผู้ป่วยยังแปรงไม่สะอาดอีก
ทันตแพทย์ก็จะได้แนะนำคนไข้ได้ถูกต้อง

ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
โรคหัวใจหรือตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบและ
ควรจะนำใบรับรองแพทย์หรือยาติดตัวมาด้วยเพราะในหลายๆ
กรณีของการรักษาทางทันตกรรมจำเป็นต้องดูว่าผู้ป่วยมีโรคทางระบบ
หรือได้รับยาอะไรอยู่บ้าง ทันตแพทย์จะได้ประเมินแผนการรักษา
ทางทันตกรรมในเบื้องต้นเป็นกรณีไปว่ามีผลต่อการรักษาทางทันตกรรมหรือไม่

ผู้ป่วยที่มีฟันเทียม
ควรนำฟันเทียมติดตัวมาด้วยเพราะจะได้ตรวจทั้งสุขภาพ
ของฟันธรรมชาติและสภาพของฟันเทียมที่ใส่ทดแทน
ดูการถอด การใส่ การยึดติดดูว่ามีกระดกหรือขยับเวลาที่พูดหรือไม่
ใส่ฟันเทียมแล้วเจ็บไหม

กรุณาแต่งกายให้เหมาะสม
ในสุภาพสตรีอาจจะแต่งกายให้มิดชิด
เพราะถ้าผู้ป่วยใส่เสื้อคอกว้างหรือกระโปรงสั้นๆ
อาจจะดูไม่เหมาะสมและอาจจะไม่สะดวก
แก่การเคลื่อนไหวร่างกายในการรักษาทางทันตกรรม

แต่งหน้าหรือทาลิปสติกบางๆ
ผู้ป่วยจะเลือกแต่งหน้าทาลิปสติกสีที่ชอบมาจากบ้าน
แล้วค่อยเช็ดออกหรืออาจจะทำฟันเสร็จแล้วค่อยเข้าห้องน้ำ
แต่งหน้าทาปากสวยๆ ดีกว่า เพราะการทาลิปสติก
จะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนตัวฟันและเครื่องมือของทันตแพทย์
หรือบางทีก็จะมีผลต่อการรักษา
เช่น การเทียบสีของวัสดุอุดฟันหรือในการทำฟันเทียมต่างๆ

กรุณาปิดเครื่องมือสื่อสารหรือปิดเสียง
ในการใช้โทรศัพท์อยากให้เป็นมารยาทร่วมกัน
ของทั้งผู้ป่วยและญาติรวมทั้งทันตแพทย์และผู้ช่วยทันตแพทย์
ขอความร่วมมือผู้ป่วยช่วยปิดเสียงโทรศัพท์
เพราะทั้งทันตแพทย์และผู้ป่วยก็อยากจะให้การรักษาทางทันตกรรมรวดเร็ว
และราบรื่นหรือถ้ามีธุระจริงๆ อาจรอไว้ทำฟันให้เสร็จก่อนค่อยคุยจะดีกว่า

การวางแผนนัดหมาย นัดหมายล่วงหน้า
ถ้าจะให้ดีที่สุดควรจะติดต่อทำการนัดหมายล่วงหน้ามาก่อน
ซึ่งจะช่วยให้ทันตแพทย์วางแผนและควบคุมเวลา
ทั้งในแง่ของการให้การรักษา การเดินทางหรือกิจธุระอื่นๆ
ของผู้ป่วยไม่ใช่รอให้มีอาการหรือมีปัญหาก่อนแล้วค่อยมาฉุกเฉิน
ทุกอย่างอาจจะวุ่นวาย การรักษาอาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร

ในกรณีคนไข้เด็ก
ผู้ปกครองควรพาเด็กมาพบทันตแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ
ก่อนจะมีอาการเจ็บปวดในช่องปาก เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกดีๆ
มาทำความคุ้นเคยกับทันตแพทย์กับเก้าอี้ทำฟันก่อน
และไม่ควรปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ดีด้วยการขู่ว่า “เดี๋ยวจะให้หมอฉีดยานะ”
“เดี๋ยวจะให้หมอถอนฟันนะ” ข้อดีคือเด็กจะไม่เกิดความกังวล
ไม่เกิดความกลัวในการรักษาทางทันตกรรม การรักษาก็จะไม่ยุ่งยาก
ซับซ้อน ไม่เจ็บ ไม่แพง ไม่เสียเวลา ในขณะเดียวกัน
ถ้าปล่อยปละละเลยให้บุตรหลานของท่านมีฟันผุ
จนกระทั่งปวดแล้วค่อยมาหาทันตแพทย์ การรักษาในวันนั้นๆ ก็จะเจ็บ
มีค่าใช้จ่ายที่สูง และสุดท้ายก็ทำให้เด็กเกิดความกลัวในการมารักษาทางทันตกรรม
เมื่อรับการรักษาเสร็จเรียบร้อย ผู้ป่วยควรดูแลปฏิบัติตน
เพื่อเป็นการป้องกันโรคในทุกๆ วัน ซึ่งเป็นการรักษาที่ดีที่สุด
และควรมาพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตาม
เพราะจะเป็นผลดีต่อตัวท่านเอง ทั้งสุขภาพช่องปากที่ดีและประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย

อาหารและของว่าง เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีของเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

อาหารและของว่าง เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีของเด็ก

อ.ทพ. ธีรวัฒน์ ทัศนภิรมย์

ภาควิชาทันตกรรมชุมชน

 

สุขภาพช่องปากและฟันที่ดีคืออะไร
ถ้าพูดถึงสุขภาพช่องปากแล้ว หลายๆ คนอาจจะคิดถึงแค่สุขภาพฟันเท่านั้น คิดว่าสุขภาพช่องปากที่ดีคือการมีสุขภาพฟันที่ดี แต่ที่จริงแล้วช่องปากของเรามีอวัยวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม กล้ามเนื้อบดเคี้ยวหรือแม้แต่ข้อต่อขากรรไกร

ดังนั้นการมีสุขภาพช่องปากที่ดีจะไม่ได้หมายถึง การที่ไม่มีโรคเกี่ยวกับฟันเท่านั้น แต่หมายถึง ภาวะที่ปราศจากโรคของฟัน เหงือก และอวัยวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบบดเคี้ยว ไม่มีอาการเจ็บ ไม่ปวด รวมถึงไม่มีความผิดปกติอื่นๆ เช่นกรณีแผลในช่องปากหรือมีหนอง มีกลิ่นปากหรือแม้กระทั่ง การมีเนื้องอกต่างๆ ในช่องปาก ซึ่งการมีสุขภาพช่องปากที่ดีจะส่งผลทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย นั่นก็คือเราจะสามารถรับประทานอาหาร ได้อย่างปกติ มีความสุขในการกิน ซึ่งจะส่งผลให้เราเจริญอาหารและมีสุขภาพร่างกายที่ดี

นอกจากนี้การที่เราไม่มีการผิดปกติต่างๆ เช่น อาการเจ็บ อาการปวดระหว่างรับประทานอาหารหรือว่าระหว่างทำงาน ก็จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ สุขภาพภาพช่องปากที่ดีก็เกี่ยวกับการเข้าสังคมด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือ ถ้าเราไม่ต้องกังวลกับเรื่องความสวยงามหรือเรื่องกลิ่นปากต่างๆ เราก็จะสามารถใช้ชีวิตเข้าสังคมได้อย่างมีความมั่นใจ ไม่เสียบุคลิก

 

ควรจะทำอย่างไรเพื่อจะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี
การมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีนั้นไม่ยากเลย แต่ว่าต้องอาศัยความใส่ใจคือต้องรักษาความสะอาดของช่องปากให้ดี นั่นก็คือแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แล้วใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ

 

 
 

รวมถึงในเรื่องของอาหารการกินด้วย เราก็ต้องดูแลใส่ใจในการเลือกอาหารการกิน เช่น เราไม่ควรจะทานอาหารที่มีลักษณะเหนียวและแข็งบ่อยๆ เพราะจะทำให้ช่องปากของเราทำงานหนัก ซึ่งจะมีผลทำให้เราปวดขากรรไกร หรือทำให้ฟันสึกได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพราะว่าถ้าเราทานอาหารจุกจิก จะทำให้ฟันเราสัมผัสกับอาหารบ่อยขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ฟันของเรามีโอกาสที่จะผุมากขึ้น

 
 
 

อย่างสุดท้ายที่จะทำให้เรามีสุขภาพช่องปากที่ดี คือ ควรมาพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ตรวจสุขภาพช่องปากของเราว่ายังอยู่ในสภาวะที่ปกติหรือไม่ ถ้าเจอปัญหาอะไร จะได้แก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ การที่เราไม่มาพบทันตแพทย์เป็นระยะเวลานาน บางครั้งเรามีปัญหาในช่องปากแต่เราอาจไม่รู้ตัว รู้อีกทีก็สายไป เมื่อมาพบทันตแพทย์ การรักษาอาจจะยากขึ้น หรือว่าไม่สามารถรักษาฟันซี่นั้นๆ ได้อีกต่อไป

 

ฟันผุเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

MU DENT faculty of dentistry

ฟันผุเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม

อ.ทพ. คมสัน ลาภาอุตย์

ภาควิชาทันตกรรมชุมชน

 

ฟันผุเกิดจากอะไร
ฟันผุเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการทำลายแร่ธาตุ (Demineralize) ของโครงสร้างฟัน ซึ่งมีสาเหตุมาจาการสร้างกรดของแบคทีเรียเพื่อมาย่อยเศษอาหารที่ตกค้างหลังจากที่เราทานอาหารเข้าไปนั่นเอง (ความเชื่อที่ว่า “แมงกินฟัน” นั้นอาจจะหมายถึง “แบคทีเรีย” ที่สร้างกรดซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นไม่ใช่แมงหรือแมลงเป็นตัวๆ !!!)

 
 

ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เกิดฟันผุ
๑. ฟันและสภาพช่องปากของเรา
๒. เชื้อแบคทีเรีย (ซึ่งอยู่ในช่องปากของเราทุกคนเป็นปกติ)
๓. อาหารโดยเฉพาะประเภทน้ำตาล
๔. เวลาและความถี่ในการบริโภค เช่น การทานจุบจิบระหว่างมื้ออาหาร

 

ส่วนไหนของฟันที่มักพบว่าผุได้มากกว่าส่วนอื่น
ฟันของเรามีส่วนที่ราบเรียบและส่วนที่เป็นหลุมร่องฟันต่างๆ ซึ่งส่วนหลุมร่องฟันนี่เองที่มีโอกาสจะเกิดฟันผุได้ง่ายเพราะเป็นตำแหน่งที่มีโอกาสที่เศษอาหารที่ตกค้างจะสะสมอยู่และมักจะไม่สามารถทำความสะอาดได้หมด จึงทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย นอกจากนี้ตำแหน่งที่เรียกว่าซอกระหว่างฟันหรือด้านประชิดของฟันคือตำแหน่งที่ฟันอยู่ติดกับฟันซี่อื่นก็มักจะมีฟันผุได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งฟันผุในลักษณะนี้จะมีการลุกลามอย่างรวดเร็วและในหลายๆ กรณีมักจะเกิดฟันผุติดกันทั้ง ๒ ซี่

 

ถ้าฟันผุแล้วไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้น
ปัญหาที่เกิดตามมาจากฟันผุมเยอะมาก ถ้าฟันผุลกมากๆ ก็จะมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน บางกรณีก็จะมีปัญหาเรื่อง บุคลิกภาพ เช่น เรื่องการมีกลิ่นปาก ปัญหาเรื่องความสวยงาม นอกจากนี้หากมีฟันผุลึกมากจนทะลุชั้นเนื้อเยื่อในฟันก็จะเกิดการติดเชื้อหรืออักเสบ ทำให้มีอาการปวดร่วมกับมีการบวมอาจมีตุ่มหนอง ซึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหาทีมีความร้ายแรงอื่นๆ ต่อได้ เช่น ฟันโยกจนต้องถอนฟันหรือเกิดการติดเชื้อลุกลามเข้าสู่ระบบอื่นๆ ของร่างกายได้

 

วิธีป้องกันฟันผุมีวิธีใดบ้าง
เป็นเรื่องที่ทุกๆ ท่านทราบกันดีอยู่แล้ว หากพิจารณาจาก ๓

– ๔ ปัจจัยที่ทำให้เกิดฟันผุนั้น ปัจจัยจากเชื้อโรคเราคงควบคุมไม่ได้มาก ปัจจัยจากตัวฟันเราควบคุมได้ในระดับหนึ่ง เช่น การเคลือบหลุมร่องฟัน แต่สิ่งสำคัญคือปัจจัยจากอาหารที่เราทานเข้าไปทุกวัน ซึ่งถ้าเราสามารถทำความสะอาดได้เกลี้ยงดจนไม่เหลือเศษอาหารตกค้างก็จะเป็นอาหารให้เชื้อแบคทีเรียมาย่อยสลายจนเกิดกรดมาทำลายเนื้อฟันได้ ดังนั้นการทำความสะอาดฟันที่มีประสิทธิภาพก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดฟันผุได้ ได้แก่ การแปรงฟันอย่างถูกวิธีโดยใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟัน


นอกจากนี้เรื่องพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ทานอาหารจุบจิบอาหารระหว่างมื้อ การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ การไม่สูบบุหรี่ การไม่ใช้ฟันผิดหน้าที่ เช่น การใช้ฟันเปิดขวด (หรือการแข่งใช้ฟันยกของหนักๆ หรือลากรถเพื่อทำสถิติ!) การไม่ไปรับการรักษาที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การจัดฟันแฟชั่น การทำฟันปลอมเถื่อน เป็นต้นสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดฟันผุและรวมไปจนถึงปัญหาอื่นๆ ของสุขภาพช่องปาก (เช่น มะเร็งในช่องปาก) ได้ด้วย


ผู้คนทั่วไปมักละเลยไม่เอาใจใส่สุขภาพช่องปากเห็นว่าปัญหา เช่น ฟันผุนั้นไม่ร้ายแรงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาโรคในช่องปากนำมาซึ่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยตรงทั้งทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจทางด้านสังคม เช่น ความมั่นใจ บุคลิกภาพเด็กที่มีปัญหาฟันผุมากๆ ก็มักจะมีปัญหาในด้านการเจริญเติบโต บางทีอาจถึงขั้นต้องหยุดเรียนจนเสียการเรียนไป หรือหากเป็นผู้ใหญ่ที่ละเลยปล่อยให้ปัญหาฟันผุลุกลามไปมาก ขั้นตอนการรักษาก็ยิ่งต้องซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพิ่มภาระทั้งค่าใช้จ่ายและเวลาในการรักษาที่นานมากขึ้น ทั้งที่ในความจริงแล้วเราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ด้วยการดูแลสุขภาพช่องปากของเราให้ดี การทำความสะอาดช่องปากอย่างถูกวิธีและทั่วถึง หมั่นเอาใจใส่ตรวจดูฟันของเราอยู่เสมอและควรไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง เพื่อตรวจหรือให้การรักษาในขณะที่ปัญหาหรือโรคต่างๆ ยังไม่รุนแรง เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีจะอยู่คู่กับเราไปนานๆ

แปรงฟัน ถูกวิธี ฟันดีตลอดชีวิต

MU DENT faculty of dentistry

แปรงฟัน ถูกวิธี ฟันดีตลอดชีวิต

รอยฟันสึก

MU DENT faculty of dentistry

รอยฟันสึก

ผศ.ดร.ทพญ. เยาวลักษณ์ เงินวิวัฒน์กุล

ภาควิชาทันตกรรมชุมชน

รอยฟันสึกที่เกิดจากการประกอบอาชีพ (Abrasion from Occupation)

รอยฟันสึกที่เกิดจากการประกอบอาชีพ (Abrasion from Occupation) นั้นสามารถเกิดจากกระบวนการที่เป็นการเสียดสีหรืออาจเกิดจากการทำงานกับสารเคมีบางชนิด ซึ่งในแผ่นพับนี้จะเน้นการเสียดสีที่เกิดได้จากการประกอบอาชีพ

 

รอยฟันสึก (Abrasion)

รอยฟันสึกนี้เกิดจากการที่มีวัตถุแปลกปลอมเสียดสีหรือถูบริเวณผิวฟันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำเป็นเวลานาน สาเหตุหลักคือการใช้ฟันหน้าที่ผิดหน้าที่ ได้แก่ การใช้ฟันหน้าในการกัดด้ายเย็บผ้าหรือเข็ม

 

การกระทำเหล่านี้นำไปสู่การสึกของฟันหน้า อาชีพที่พบรอยสึกเช่นนี้ ได้แก่ ช่างเย็บผ้า ช่างไม้ ช่างจักสาน ตามลำดับ ในการดำเนินงานโครงการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อพัฒนาแนวคิดการดูแลทันตสุขภาพของผู้ด้อยโอกาสในท้องถิ่นทุรกันดารของคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าในชุมชนที่มีอาชีพจักสานเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมในชุมชนนั้นๆ จะพบว่ามีรอยสึกที่ฟันหน้าด้านเพดานฟันบนและรอยสึกที่ฟันหน้าล่างด้านริมฝีปากซึ่งเป็นการสึกถึงระดับที่ชั้นเนื้อฟัน ในกรณีรุนแรงอาจพบการสึกเกินกึ่งหนึ่งของตัวฟันซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากอย่างยิ่ง ดังนั้นการให้ความรู้เพื่อให้เกิดความตระหนักในการใช้ฟันผิดหน้าที่ในกลุ่มเสี่ยงจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง

 

การวินิจฉัยรอยสึก

โดยทั่วไปเริ่มจากการสอบถาม ซักประวัติ เกี่ยวกับการประกอบอาชีพของครอบครัว ตลอดจนการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน และอาชีพเสริมภายในชุมชน ส่วนการตรวจสอบทางคลินิกของรอยสึกมีสองวัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ การบันทึกตำแหน่ง ลักษณะของรอยสึก และระดับความลึกของรอยสึก

การบูรณะฟันที่สึก

วิธีการรักษา ใช้วิธีอุดฟันหรือครอบฟันแต่ทั้งนี้ ความสำเร็จของการรักษาในระยะยาวจะขึ้นกับการดูแลสุขภาพในช่องปากที่ดีควรมีวิธีแนะนำให้ผู้ป่วยทราบถึงสาเหตุและหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดรอยสึกขึ้นอีก

 

การป้องกัน

ควรมีการให้ความรู้เพื่อให้เกิดความตระหนักในการใช้ฟันผิดหน้าที่ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมดังกล่าวตลอดจนมีการดูแลในช่องปากและพบทันตแพทย์อย่างต่อเนื่อง