ทันตกรรมรากเทียม
1. ต่อมน้ำลายหน้ากกหู (Parotid gland) ในมนุษย์เป็นต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ที่สุด อยู่หน้ากกหู ผลิตน้ำลายชนิดใส มีตำแหน่งทางเปิด เห็นเป็นปุ่มเนื้อเยื่ออยู่ตรงข้ามกับตัวฟันของฟันกรามหลังบนซี่ที่สอง ผลิตน้ำลาย ร้อยละ 20 – 25 ของน้ำลายทั้งหมด
2. ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่าง (Submandibular gland) อยู่บริเวณใต้ขากรรไกรล่าง ผลิตน้ำลายชนิดใส (ผลิตเป็นหลัก) และชนิดเหนียว มีตำแหน่งทางเปิดอยู่ใต้ลิ้น เห็นเป็นปุ่มเนื้อเยื่ออยู่ข้างเนื้อยึดลิ้น ผลิตน้ำลายส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 – 75 ของน้ำลายในช่องปาก
3. ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (Sublingual gland) อยู่บริเวณใต้ลิ้น ผลิตน้ำลายชนิดเหนียว (ผลิตเป็นหลัก) และชนิดใส มีตำแหน่งทางเปิดอยู่ใต้ลิ้น ถัดจากตำแหน่งทางเปิดของต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่างมาทางด้านข้าง
นอกจากต่อมน้ำลายหลัก เรายังสามารถพบต่อมน้ำลายย่อย ซึ่งมีขนาดเล็ก กระจายตัวเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามเนื้อเยื่อในช่องปาก ได้แก่ ริมฝีปากด้านใน กระพุ้งแก้ม ลิ้น และเพดานปาก ต่อมน้ำลายย่อยนี้ส่วนใหญ่จะผลิตน้ำลายชนิดเหนียว
ส่วนประกอบของน้ำลายมีอะไรบ้าง ?
น้ำลายมนุษย์ ประกอบด้วย น้ำ ถึงร้อยละ 99.5 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 0.5 ประกอบไปด้วย อิเล็กโทรไลท์ (Electrolytes) หรือเกลือแร่ ได้แก่ โซเดียม โปแตสเซียม คลอไรด์ ไบคาร์บอเนทและฟอสเฟต มูกเมือก (Mucus) ประกอบด้วยแป้งและโปรตีน สารต้านเชื้อแบคทีเรีย และเอนไซม์ย่อยอาหารจำพวกแป้ง และไขมัน
น้ำลาย มีประโยชน์อย่างไร ?
1. ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นในช่องปาก และป้องกันเนื้อเยื่อในช่องปากจากภยันตรายต่าง ๆ ระหว่างการเคี้ยว การกลืน และการพูดคุย
2. ช่วยในการย่อยอาหาร น้ำลายช่วยทำให้อาหารมีความนุ่มง่ายต่อการย่อย และยังมีองค์ประกอบของเอนไซม์ Amylase และ Lipase ที่ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกแป้ง และไขมัน ตามลำดับ ก่อนส่งต่อไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
3. ช่วยป้องกันฟันผุ โดยน้ำลายทำหน้าที่เป็นสารบัฟเฟอร์จากองค์ประกอบของอิเล็กโทรไลท์ ควบคุมความเป็นกรดเป็นด่างที่เหมาะสมในช่องปาก อยู่ที่ประมาณ pH 6.2 – 7.4 ซึ่งถ้าสมดุลในส่วนนี้ถูกรบกวน เกิดความเป็นกรดที่สูงขึ้น จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ ในทางตรงกันข้ามถ้าเกิดความเป็นด่างที่สูงขึ้น จะมีโอกาสเกิดหินปูนได้มาก ทำให้เกิดโรคปริทันต์
4. ช่วยในการรับรส โดยส่งเสริมการทำหน้าที่ของปุ่มรับรส เราจะสังเกตเห็นได้ว่าในคนไข้ที่มีน้ำลายน้อย เช่น ผู้สูงอายุ หรือคนไข้ที่ทานยาที่มีผลต่อการลดการหลั่งน้ำลาย มักจะมีการรับรสที่ผิดปกติ
5. ในน้ำลายมีสารที่ฆ่าเชื้อโรคได้ คือ สารอิมมูโนโกลบูลินเอ (IgA) แลคโตเฟอริน และแลคโตเพอร์ออกซิเดส เวลามีแผลในปาก สารเหล่านี้จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น ฆ่าเชื้อโรคได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้น้ำลายมีประโยชน์มากมาย แต่ในขณะเดียวกันน้ำลายอาจเป็นส่วนที่แพร่กระจายเชื้อโรค ทำให้เกิดโรคติดต่อจากบุคคลหนึ่งสู่บุคคลหนึ่งได้เช่นกัน เช่น โรคเริม โรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น
ปริมาณ น้ำลาย/วัน ในมนุษย์
โดยเฉลี่ยมีการศึกษารายงานว่าปริมาณน้ำลายถูกหลั่งอยู่ในช่วง 0.75 – 1.5 ลิตร/วัน และเป็นที่ยอมรับว่าปริมาณน้ำลายจะมีการหลั่งที่น้อยลง หรือหยุดผลิตระหว่างการนอนหลับ หรือในช่วงเวลากลางคืน จึงเป็นสาเหตุให้เมื่อตื่นนอนคนเรามักจะมีกลิ่นปาก หรือถ้าไม่แปรงฟันก่อนนอนจะเพิ่มโอกาสฟันผุเพราะมีตัวฆ่าเชื้อในช่องปากที่ลดลง
จากที่กล่าวมาข้างต้น น้ำลายมีความสำคัญอย่างมาก ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นต่อการหลั่งน้ำลายที่น้อยลง ด้วยสาเหตุต่าง ๆ อาทิเช่น ภาวะสูงอายุ ยาที่มีผลลดการหลั่งน้ำลาย โรคทางระบบ เช่น เบาหวาน โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำลายติดเชื้อ มะเร็งต่อมน้ำลาย ภาวะหลังการรักษามะเร็งที่ศีรษะและลำคออาจจะด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด ซึ่งจะมีผลต่อต่อมน้ำลาย เมื่อต่อมน้ำลายมีความผิดปกติ หลั่งน้ำลายได้น้อย (Hyposalivation) จะส่งผลให้เกิดสภาวะปากแห้ง (Dry mouth / Xerostomia) เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ในช่องปาก เช่น ฟันผุ โรคเหงือกและปริทันต์อักเสบ แผลอักเสบในช่องปาก กลิ่นปาก ติดเชื้อราในช่องปาก ถึงตอนนี้เราได้เรียนรู้ว่าน้ำลายไม่ใช่แค่ของเหลวธรรมดาๆ แต่เป็นของเหลวที่ถูกสร้างขึ้นจากร่างกายมีความสำคัญช่วยทำให้เราดำเนินชีวิตได้ตามปกติ หากเรามีความผิดปกติของน้ำลาย หรืออยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการหลั่งน้ำลายน้อยตามที่อธิบายข้างต้น เราควรจะสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรมีการดูแลเอาใจใส่สุขภาพช่องปากเป็นพิเศษด้วยตนเองจากทันตแพทย์และแพทย์
ทันตกรรมเพื่อความสวยงามมีกี่ประเภท ?
โดยหลักๆ จะมีอยู่ 4 แบบ คือ การฟอกสีฟัน เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น การทำวีเนียร์หรือเคลือบฟันเทียม เพื่อปรับรูปร่างและขนาดของฟันให้เหมาะสม การทำครอบฟัน มีการเรียงตัวที่ผิดปกติไปมาก ทำในฟันที่ได้รับการรักษารากฟันไปแล้ว การอุดฟันด้วยวัสดุอุดสีเหมือนฟัน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการจัดฟัน
การฟอกสีฟันคืออะไร ?
คือการนำสารเคมีจำพวกเปอร์ออกไซด์ทาไปบนตัวผิวฟันเพื่อให้ฟันเกิดการแตกตัวของเม็ดสี ทำให้สีของฟันขาวขึ้น โดยทั่วไปแบ่งออกไป 2 ลักษณะ คือ การฟอกด้วยตัวเองที่บ้าน หรือที่เรียกว่า Home Bleaching และการฟอกโดยทันตแพทย์ ที่เรียกว่า In-Office Bleaching โดย Home Bleaching ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปากของคนไข้ แล้วก็ส่งไปทำถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคล ซึ่งถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลก็จะใส่ร่วมกับสารฟอกสีฟัน ส่วนวิธี In-Office Bleaching ทันตแพทย์ก็จะทำการทาสารลงไปบนตัวฟันทิ้งไว้ โดยที่มีการกระตุ้นให้สารตัวนี้ทำงานโดยใช้แสงสีฟ้าหรือแสงเลเซอร์ ทำการฟอกประมาณ 2 – 4 ชั่วโมง แต่วิธีนี้จะทำให้ฟันขาวเร็วขึ้น แต่ความเสถียรของความขาวมีอยู่ค่อนข้างน้อย ทันตแพทย์จึงนิยมใช้วิธี In-Office Bleaching ร่วมกับการทำ Home Bleaching
การเคลือบผิวฟันคืออะไร ?
การเคลือบผิวฟันหรือทำวีเนียร์ ทันตแพทย์ก็จะทำการประเมินแล้วกรอแต่งฟัน โดยการกรอแต่งฟันทันตแพทย์จะกรอฟันให้น้อยที่สุด ทำการพิมพ์ปากแล้วส่งไปให้แลป แลปก็จะทำเป็นชิ้นงานส่งมาให้ให้ทันตแพทย์เพื่อที่จะยึดกลับไปในคนไข้ โดยชิ้นงานจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ คอมโพสิตหรือเซรามิค ซึ่งความคงทนและแข็งแรงของเซรามิคจะมีสูงกว่า ค่าใช้จ่ายก็จะแพงกว่าแบบคอมโพสิต
1. การใช้ฟันเป็นเครื่องมือ
หลายคนใช้ฟันเป็นเครื่องมือในการเปิดขวดหรือเศษถุงฉีกขาดเทปพลาสติก, ตัดป้ายราคาเสื้อผ้าออก เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะฟันถูกออกแบบมาเพื่อใช้ในการบดเคี้ยวอาหารเท่านั้น การใช้ฟันผิดหน้าที่ เช่น นำไปกัดหรือฉีกถุงพลาสติก อาจทำให้ฟันหน้าบิ่นหรือแตกหักเสียหายได้
2. เคี้ยวน้ำแข็ง
น้ำแข็งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่ามันแข็ง ถึงจะเคี้ยวแล้วมันจะได้ความกรุบกรอบ สนุกสนาน แต่อาจทำให้ฟันที่ใช้เคี้ยวน้ำแข็งเกิดอาการฟันร้าว นำไปสู่การเสียวฟัน และปวดฟัน หรือในบางรายที่ไม่มีอาการดังกล่าวอาจจะทำให้ฟันสึกมากและเร็วกว่าปกติ รวมถึงทำให้ฟันแตกหัก จนต้องถอนฟันได้
3. ทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวจัด
อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวมีความเป็นกรดสูง และความเป็นกรดนี้จะทำให้เนื้อฟันบริเวณที่สัมผัสมีลักษณะอ่อนนุ่มลง และจะทำให้ฟันสึกมากกว่าปกติได้ ดังนั้นหากต้องการดื่มเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าหรือบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าตามทันทีเพื่อลดระยะเวลาที่อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยว และไม่ควรแปรงฟันทันทีเพราะเนื้อฟันยังมีลักษณะนิ่มหลังจากสัมผัสกับกรด การแปรงฟันทันทีอาจส่งผลให้ฟันึกเร็วขึ้น
4. การใช้ไม้จิ้มฟัน
การใช้ไม้จิ้มฟันบ่อยๆ และใช้แบบผิดวิธี อาจทำให้ฟันห่างขึ้น และเป็นอันตรายต่อเหงือกควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดระหว่างซอกฟันหรือแปรงซอกฟัน
5. กัดเล็บ
การกัดเล็บนอกจากจะทำให้เล็บไม่สวยและเสียบุคลิกภาพนอกจากนี้ตามซอกเล็บยังมีสิ่งสกปรกซ่อนอยู่ ดังนั้นการกัดเล็บอาจเป็นหนทางทำให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้
6. ดูดนิ้วหัวแม่มือ
การดูดนิ้วหัวแม่มือในเด็ก จะส่งผลต่อการขึ้นของฟัน ทำให้ฟันขึ้นในตำแหน่งที่ผิดปกติ เนื่องจากนิ้วหัวแม่มือไปดันฟันไว้ และทำให้เกิดความผิดปกติของกระดูกใบหน้าขากรรไกรได้
7. การสูบบุหรี่จัด การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการเคี้ยวหมาก
การสูบบุหรี่และการเคี้ยวหมาก จะทำให้มีคราบสกปรกติดแน่นในช่องปาก ทำให้มีคราบหินน้ำลายมาเกาะได้ง่ายและนำไปสู่การเป็นโรคเหงือก โรคปริทันต์และสูญเสียฟันต่อไป นอกจากนี้ยังเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้เกิดโรคมะเร็งในช่องปากอีกด้วย การดื่มการดื่มแอลกอฮอล์จะส่งผลให้คนไข้ลืมหรือไม่ใส่ใจในการทำความสะอาดช่องปากและมีผลเสียกับสุขภาพร่างกายอีกด้วย
8. ดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป
น้ำอัดลมมีความเป็นกรดเช่นเดียวกับน้ำมะนาว การดื่มน้ำอัดลมบ่อยๆ จะทำให้เนื้อฟันมีลักษณะนิ่ม มีการสึกที่เร็วกว่าปกติ นอกจากนี้ ในน้ำอัดลมยังมีน้ำตาลสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่สำคัญต่อการเกิดฟันผุอีกด้วย
9. การนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัว
สาเหตุของการนอนกัดฟันโดยไม่รู้ตัวยังไม่เป็นที่แน่ชัด ความเครียดอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นอนกัดฟันได้ วิธีการป้องกันคือการใส่เฝือกสบฟันในขณะนอนเพื่อช่วยลดการสึกของฟันและป้องกันการเกิดอันตรายต่อกล้ามเนื้อใบหน้าและข้อต่อขากรรไกร
ท่านผู้อ่านท่านใดที่มีพฤติกรรมดังที่กล่าวมาขอให้เลิกเสียตั้งแต่วันนี้ … เพราะพฤติกรรมข้างต้นล้วนแล้วแต่เป็นภัยเงียบที่ส่งผลร้ายแต่ฟันที่คุณรัก หันมาใส่ใจและทะนุถนอมฟันของเรากันดีกว่า ด้วยการทำความสะอาดฟัน ด้วยการแปรงฟัน ใช้ไหมขัดฟัน และไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพฟันทุกๆ 6 เดือน เราจะได้มีฟันสวยๆ อย่าคู่กับเราไปตลอดชีวิต
การสบฟันลึก หมายถึง ระยะเหลื่อมแนวดิ่งที่ฟันหน้ามากกว่า 1/3 ของความสูงของฟันหน้าล่าง สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะฟันน้ำนมและระยะฟันชุดผสม (ช่วงที่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบและยังมีฟันน้ำนมเหลืออยู่) ในการรักษาจะอาศัยการแก้ไขด้วยเครื่องมือทันตกรรมจัดฟันชนิดถอดได้ หรือเครื่องมือฟังก์ชันนอล เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรล่าง
คราวนี้ทุกคนก็พอจะทราบแล้วว่าลักษณะการสบฟันที่ผิดปกติในวัยเด็กเป็นอย่างไร สาเหตุหลักๆ มักมีด้วยกัน 3 ประการ
1. จากการมีลักษณะนิสัยการดูดนิ้ว, การกลืนที่ผิดปกติ ซึ่งเรื่องนี้คุณแม่คุณพ่อก็ต้องดูกันตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ กันเลย
2. การดูแลฟันน้ำนมไม่ถูกต้อง ทำไมต้องดูแลฟันน้ำนมให้ดี เพราะฟันน้ำนมนอกจากจะมีไว้บดเคี้ยวตามธรรมชาติ ช่วยในการออกเสียงแล้วยังเป็นผู้ดูแลช่องว่างเตรียมไว้ให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมาทดแทนด้วย ถ้าเสียฟันน้ำนมไปก่อนเวลาอันควรช่องว่างสำหรับฟันแท้จะมีไม่พอ เกิดปัญหาฟันซ้อนเกตามมาได้
3. สาเหตุจากกรรมพันธุ์ ไม่เพียงแต่มีผลเฉพาะกับฟัน เช่น ลักษณะรูปร่างของฟัน ขนาดฟัน จำนวนฟัน เท่านั้น ยังส่งผลต่อลักษณะของโครงหน้าอีกด้วย เช่น หน้ากลม หน้ารูปไข่ หน้าเหลี่ยม คางสั้น คางยื่น เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจประเมิน วินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสมจากทันตแพทย์เฉพาะทางสาขา ทันตกรรมจัดฟัน
การจัดฟัน คืออะไร
การจัดฟัน คือ งานสาขาหนึ่งทางทันตกรรมที่ให้การรักษาความผิดปกติของการเรียงตัวของฟันและการสบฟันในช่องปาก โดยการจัดฟันจะมีการเคลื่อนที่ของฟันไปยังตำแหน่งใหม่ เพื่อเรียงฟันให้ดีขึ้นและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม นอกจากนี้ทันตแพทย์จัดฟันจะทำการวิเคราะห์ วินิจฉัย วางแผนป้องกัน และรักษา ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งและขนาดของขากรรไกร ตลอดจนความสัมพันธ์ของขากรรไกรกับใบหน้าด้วย
ทำไมจึงต้องจัดฟัน
การจัดฟันเป็นการให้การรักษา เพื่อให้ฟันมีการเรียงตัวที่ตรงขึ้น มีการสบฟันที่ดีขึ้น เพื่อให้การบดเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพ อาจลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดฟันผุหรือโรคเหงือก อันเนื่องมาจากความลำบากในการทำความสะอาดฟันและเหงือกในบริเวณที่ฟันเรียงตัวผิดปกติและซ้อนเกและยังอาจช่วยเสริมบุคลิกภาพจากการที่มีฟันเรียงกันสวยงาม
ควรจัดฟันเมื่ออายุเท่าไหร่
การจัดฟันเป็นการที่ทันตแพทย์จัดฟันเคลื่อนที่ฟันไปที่ตำแหน่งใหม่ ในระหว่างการเคลื่อนที่ของฟันกระดูกที่รองรับฟันและที่อยู่รอบๆรากฟันจะมีการทำลายและมีการสร้างตัวใหม่ (รูปที่ 6)ดังนั้นในผู้ป่วยเด็ก จะมีความสามารถของกระบวนการสร้างเสริมกระดูกรอบๆรากฟันรวดเร็วและดีกว่าในผู้ป่วยผู้ใหญ่ จึงแนะนำให้ผู้ป่วยเด็กที่ฟันน้ำนมหลุดออกไปหมดแล้วเริ่มมารับการรักษาทางการจัดฟัน ซึ่งผู้ป่วยเด็กกลุ่มนี้จะมีอายุประมาณ 11-12 ปี แล้วแต่บุคคล ในผู้ป่วยเด็กจึงมักจะใช้เวลาในการรักษาน้อยกว่าในผู้ป่วยผู้ใหญ่
สำหรับผู้ป่วยเด็กที่ไปพบทันตแพทย์เด็กสม่ำเสมอ ก็จะได้รับการตรวจดูแลสภาพช่องปากเป็นประจำ และเมื่อทันตแพทย์เด็กตรวจพบความผิดปกติใดๆของการสบฟัน ก็จะมีการส่งต่อผู้ป่วยเพื่อขอรับคำแนะนำจากทันตแพทย์จัดฟันต่อไป
การเตรียมตัวก่อนจัดฟัน
การมีเครื่องมือจัดฟันติดอยู่บนผิวฟัน เมื่อรับประทานอาหารก็จะมีเศษอาหารติดที่เครื่องมือจัดฟัน (รูปที่ 8) และระหว่างเครื่องมือกับผิวฟันได้ง่ายขึ้น ก่อนการติดเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่น ทันตแพทย์จัดฟันจะส่งตัวผู้ป่วยให้ไปทำความสะอาดช่องปากโดยการขูดหินปูน รวมถึงการอุดฟันที่ผุทั้งช่องปากให้เรียบร้อยก่อนมาติดเครื่องมือจัดฟัน เพราะถ้าผู้ป่วยมีฟันผุและดูแลสภาพช่องปากของตนเองได้ไม่ดี การติดเครื่องมือติดแน่นในช่องปากจะทำให้การผุลุกลาม รวดเร็วขึ้นและโรคเหงือกจะเป็นรุนแรงมากขึ้น ทำให้เกิดเหงือกทั่วไปในช่องปากอักเสบมากได้
การดูแลสุขภาพช่องปากระหว่างการจัดฟัน
เมื่อมีเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นในช่องปาก การรับประทานอาหารแต่ละครั้ง จะมีเศษอาหารติดที่เครื่องมือและที่รอยต่อระหว่างเครื่องมือจัดฟันและผิวฟันได้ง่าย เมื่อได้รับการรักษาจัดฟัน ผู้ป่วยจึงจำเป็นต้องดูแลทำความสะอาดฟันและเหงือกของตนเองให้ดีกว่าการดูแลฟันปกติ คือ ต้องแปรงฟันหลังการรับประทานอาหารทุกครั้ง ให้ใช้อุปกรณ์เสริมอื่นๆ ได้แก่ แปรงซอกฟันขนาดเล็ก (รูปที่ 9) โดยหลังจากการแปรงฟันปกติ ต้องใช้แปรงซอกฟันขนาดเล็กทำความสะอาดที่รอบๆ ฐานbracketและตรงรอยต่อที่ติดกับผิวฟันด้วย ต้องใช้ไหมขัดฟัน โดยให้ร้อยไหมขัดฟันเข้าไปใต้ลวดจัดฟันและทำความสะอาดที่ซอกระหว่างฟันด้วย
หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้วต้องทำอย่างไรต่อไป
หลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นแล้ว ยังต้องใส่เครื่องมือคงสภาพฟันซึ่งเป็นเครื่องมือแบบถอดได้ต่อไปอีก โดยให้ใส่ตลอดเวลาทั้งวันและใส่ตอนนอน ถอดออกเฉพาะเมื่อรับประทานอาหารและแปรงฟัน อย่างน้อย 6 เดือน หลังจากนั้นให้ใส่เครื่องมือคงสภาพฟันเฉพาะตอนนอน อีกประมาณ 2-3 ปี เพื่อให้ฟันที่ได้จัดเรียบร้อยแล้วคงสภาพเรียงตรงอยู่ได้
1. จัดฟันแล้วพูดไม่ชัด,น้ำลายหก เกิดจากสาเหตุใด
Ans : ในระยะแรกที่เริ่มติดเครื่องมือจัดฟันไป ผู้ป่วยส่วนมากจะพบปัญหาการพูดไม่ชัด บางคนถึงขั้นน้ำลายหกโดยไม่รู้สึกตัว เนื่องจากผู้ป่วยยังไม่ชินกับอุปกรณ์ที่ทันตแพทย์ติดที่ผิวฟัน รวมทั้งลวด อุปกรณ์เสริมต่างๆ ที่มีผลทำให้ขัดขวางการออกเสียง หรือปิดปากได้ไม่สนิท แต่อาการเหล่านี้จะค่อยๆ หายไป หลังจากที่ผู้ป่วยเริ่มปรับตัวได้โดยที่ร่างกายเราจะปรับตัวได้เอง ซึ่งระยะเวลาในการปรับตัวนั้นช้าหรือเร็วแตกต่างกันไปในแต่ละคน แต่โดยปกติจะใช้เวลาประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ เพราะฉะนั้นคนที่เริ่มจัดฟันไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับ หลังจากติดเครื่องมือไปใหม่ๆ พยายามจิบน้ำเปล่าบ่อยๆ ไม่ให้ปากแห้ง จะช่วยลดการเสียดสีของเครื่องมือกับริมฝีปากและกระพุ้งแก้มได้ ป้องกันการเป็นแผลในช่องปากและช่วยให้เราปรับตัวกับเครื่องมือได้ง่ายขึ้น
2. จัดฟันแล้วมีปัญหากลิ่นปาก
Ans : ปัญหากลิ่นปากเกิดจากการที่มีเศษอาหารตกค้างอยู่ภายในช่องปากเป็นเวลานาน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ติดเครื่องมือจัดฟันไป จะทำให้เศษอาหารตกค้างได้ง่ายกว่าปกติ และทำความสะอาดได้ยาก ดังนั้นระหว่างที่จัดฟันอยู่จำเป็นต้องดูแลทำความสะอาดฟันให้มากกว่าปกติ แปรงฟันทุกครั้งหลังทานอาหารและก่อนนอน ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันที่ออกแบบมาสำหรับคนที่กำลังจัดฟัน นอกจากนี้อาจใช้ร่วมกับแปรงซอกฟันและน้ำยาบ้วนปากหลังจากที่แปรงฟันเสร็จแล้ว หลังจากแปรงฟันเสร็จ อย่าลืมแปรงลิ้นด้วยนะครับ เพราะลิ้นเป็นอีกแห่งที่มีการสะสมของคราบจุลินทรีย์ได้ง่าย นอกจากนี้หมั่นไปตรวจสุขภาพช่องปากและรับการขูดหินปูนเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง
3. เผลอกลืนอุปกรณ์จัดฟันลงคอ ควรทำอย่างไร
Ans : ในบางครั้งอาจมีการหลุดของอุปกรณ์จัดฟันอย่างเช่น แบร็คเก็ต ยางจัดฟัน ผู้ป่วยบางรายอาจเผลอกลืนลงไป แต่ไม่ต้องกังวลครับ เนื่องจากอุปกรณ์จัดฟันทำมาจากวัสดุที่ไม่เป็นพิษต่อร่างกาย ยกเว้นอุปกรณ์ที่ติดกับหมอเถื่อน ไม่ทราบแหล่งที่มาของอุปกรณ์ได้แน่ชัด อันนี้หมอไม่รับประกันนะครับ โดยปกติหลังจากกลืนลงคอไปแล้ว ร่างกายจะกำจัดออกมาทางการขับถ่ายตามปกติ คำแนะนำจากหมอคือพยายามปฏิบัติตามที่ทันตแพทย์บอก หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีลักษณะแข็ง เหนียว หรือชิ้นใหญ่จนเกินไป เพราะจะทำให้อุปกรณ์จัดฟันหลุดได้ นอกจากมีโอกาสกลืนลงคอได้ ยังทำให้การรักษาไม่คืบหน้า ส่งผลให้การรักษาใช้เวลาที่นานขึ้น
4. เหล็กจัดฟันชอบหลุดต้องรอให้ถึงกำหนดนัดหรือไม่
Ans : ในกรณีที่สามารถพบทันตแพทย์จัดฟันได้เร็วกว่ากำหนดนัด ก็แนะนำให้ไปพบได้ก่อนเพื่อให้คุณหมอตรวจและแก้ไขแต่เนิ่นๆ เพราะว่าการที่เหล็กจัดฟันหลุดบ่อยจะมีผลให้การรักษาไม่คืบหน้าและต่อเนื่อง หากเหล็กจัดฟันหลุดในตำแหน่งฟันซี่สุดท้าย มักจะทำให้ปลายลวดทิ่มที่กระพุ้งแก้มเป็นแผลได้ ทางที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่มีผลให้เหล็กจัดฟันหลุดได้ง่าย เช่น การรับประทานอาหารที่แข็งเกินไป หรือมีลักษณะเหนียว เช่น น้ำแข็ง ท้อฟฟี่ ถั่ว ผลไม้ดิบ เป็นต้น แนะนำให้หั่นอาหารเป็นชิ้นเล็กพอคำก่อนทาน แปรงฟันไม่แรงจนเกินไป ระวังปลายหัวแปรงกระแทกกับเหล็ก หรือการใช้ไม้จิ้มฟันไม่ระวังซึ่งอาจทำให้เหล็กจัดฟันหลุดได้
5. ลวดทิ่มแก้มหรือเหงือกจนเป็นแผลทำอย่างไรดี
Ans : หากปลายลวดยื่นออกมาไม่มากนัก แนะนำใช้ขี้ผึ้งที่ได้รับจากทันตแพทย์จัดฟัน ปั้นเป็นก้อนเล็กๆ แล้วแปะทับไปที่ลวดหรือเครื่องมือที่แหลมคม แต่ถ้าปลายลวดยื่นออกมามาก หรือปลายลวดหลุดออกมาจากเหล็กจัดฟัน ให้รีบไปพบแพทย์ที่เรารักษาอยู่ เพื่อแก้ไขได้ทันท่วงที
6. ยางรัดลวดจัดฟันสีสันมีประโยชน์อะไรหรือไม่
Ans : สีสันต่างๆของยางจัดฟัน ไม่ได้มีผลต่อการรักษา เพราะทำมาจากวัสดุชนิดเดียวกัน คุณสมบัติเหมือนกัน เพียงแต่ใส่สีเพื่อความสวยงาม และมีความหลากหลาย กระตุ้นให้ผู้ป่วยอยากมาเปลี่ยนสียางในทุกๆ เดือน แต่ในบางคนที่อยู่ในวัยทำงานหรือผู้ชายมักจะไม่นิยมสีสัน ไม่อยากให้ดูเด่นจนเกินไป ก็มักจะเลือกสียางที่เป็นสีใส สีเหมือนฟันหรือสีเงินกลมกลืนไปกับเหล็กจัดฟัน
7. จัดฟันบนหรือฟันล่างอย่างเดียวได้ไหม เพราะอะไร
Ans : ในกรณีที่จัดเพื่อแก้ไขความผิดปกติเพียงซี่ สองซี่ สามารถจัดฟันแค่ฟันบนหรือฟันล่างอย่างเดียวได้ แต่โดยทั่วไปแล้วเราจะจัดฟันทั้งฟันบนและฟันล่างเพื่อให้มีการสบฟันที่ดี สบฟันได้สนิท ส่งผลให้ระบบการเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพ กระจายแรงบดเคี้ยวไปที่ฟันทุกๆ ซี่ ลดปัญหาฟันสึก ประสาทฟันอักเสบ รวมไปถึงป้องกันการเกิดโรคข้อต่อขากรรไกรได้
8. ถ้าต้องย้ายที่อยู่หรือต้องการเปลี่ยนหมอควรทำอย่างไร
Ans : อันดับแรกคือต้องไปปรึกษาหมอที่จัดฟันให้เราอยู่ก่อนว่าเราไม่สะดวกจัดฟันต่อ ขอให้คุณหมอช่วยเขียนหนังสือส่งตัว หรือหนังสือย้ายเคส พร้อมทั้งขอแบบพิมพ์ฟันก่อน / ระหว่างการรักษา ฟิลม์เอ็กซเรย์ รูปถ่ายและประวัติการรักษา เพื่อให้คุณหมอที่จะรับทำต่อ สามารถวางแผนการรักษาต่อไปได้ ตามปกติแล้ว จะไม่แนะนำให้ย้ายเคสโดยไม่มีเหตุจำเป็น เพราะทำให้การรักษาเสียเวลานานขึ้น ค่าใช้จ่ายที่ต้องเริ่มจ่ายใหม่ อีกทั้งหาคุณหมอที่จะรับเคสต่อได้ยาก ดังนั้นก่อนการจัดฟัน เราต้องวางแผนให้ดีก่อนว่าจะสามารถมาทำการรักษากับคุณหมอท่านนั้นได้ต่อเนื่องตลอดการรักษาได้หรือไม่
9. หลังจากที่จัดเสร็จฟันจะมีสภาพเรียงตัวเช่นนี้ได้นานเท่าใด ตลอดชีวิตหรือไม่
Ans : การเรียงตัวของฟันหลังจากถอดเครื่องมือจัดฟันแล้วจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในการใส่เครื่องมือคงสภาพฟัน หรือเรียกว่า รีเทนเนอร์ (Retainer) เพราะหลังจากจัดฟันแล้ว ฟันจะมีแนวโน้มเคลื่อนกลับไปสู่ตำแหน่งเดิมก่อนการจัดจากแรงของเนื้อเยื่อภายในช่องปาก จึงจำเป็นต้องใส่รีเทนเนอร์จนกว่าเนื้อเยื่อต่างๆ ภายในช่องปากจะปรับตัวเข้าสู่สมดุลภายใต้สภาพการเรียงตัวของฟันใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจัดฟันเสร็จ ส่วนระยะเวลาในการใส่รีเทนเนอร์ของแต่คนละคนจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของทันตแพทย์จัดฟันผู้ให้การรักษา ซึ่งโดยปกติจะใส่รีเทนเนอร์อย่างน้อย 1 ปีขึ้นไป
ใช้ไหมขัดฟันอย่างไรให้ฟันสะอาดยิ่งขึ้น ?
1. ดึงไหมขัดฟันออกมา ความยาวประมาณ 18 นิ้ว ให้พันที่นิ้วกลาง ทั้ง 2 ข้าง ดึงให้ไหมขัดฟันตึง
2. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับไหมขัดฟันแล้วค่อยๆ เลื่อนเส้นไหมลงระหว่างซอกฟัน
3. โอบไหมขัดฟันรอบตัวฟันแต่ละซี่และเลื่อนเส้นไหมลงใต้เหงือกแล้วเคลื่อนไหมขึ้นไปทางปลายฟัน ทำซ้ำ 4 – 5 ครั้ง
8 ข้อแนะนำที่ควรปฏิบัติก่อนการรักษาทางทันตกรรม
ควรแปรงฟันให้สะอาดก่อนที่จะพบกับทันตแพทย์
ผู้ป่วยหลายๆ คนอาจจะเตรียมตัวมาแล้วในเบื้องต้น
เพราะอาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจ อาย กลัวว่ามีกลิ่นปาก
หรือกลิ่นบุหรี่ ผู้ป่วยที่เตรียมตัวมาแล้วจะมีข้อดีอีกข้อคือทันตแพทย์
จะได้ตรวจและประเมินด้วยว่าถ้าผู้ป่วยแปรงอย่างดีที่สุดแล้ว
ยังมีตำแหน่งไหนที่ผู้ป่วยยังแปรงไม่สะอาดอีก
ทันตแพทย์ก็จะได้แนะนำคนไข้ได้ถูกต้อง
ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
โรคหัวใจหรือตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบและ
ควรจะนำใบรับรองแพทย์หรือยาติดตัวมาด้วยเพราะในหลายๆ
กรณีของการรักษาทางทันตกรรมจำเป็นต้องดูว่าผู้ป่วยมีโรคทางระบบ
หรือได้รับยาอะไรอยู่บ้าง ทันตแพทย์จะได้ประเมินแผนการรักษา
ทางทันตกรรมในเบื้องต้นเป็นกรณีไปว่ามีผลต่อการรักษาทางทันตกรรมหรือไม่
แต่งหน้าหรือทาลิปสติกบางๆ
ผู้ป่วยจะเลือกแต่งหน้าทาลิปสติกสีที่ชอบมาจากบ้าน
แล้วค่อยเช็ดออกหรืออาจจะทำฟันเสร็จแล้วค่อยเข้าห้องน้ำ
แต่งหน้าทาปากสวยๆ ดีกว่า เพราะการทาลิปสติก
จะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนตัวฟันและเครื่องมือของทันตแพทย์
หรือบางทีก็จะมีผลต่อการรักษา
เช่น การเทียบสีของวัสดุอุดฟันหรือในการทำฟันเทียมต่างๆ
กรุณาปิดเครื่องมือสื่อสารหรือปิดเสียง
ในการใช้โทรศัพท์อยากให้เป็นมารยาทร่วมกัน
ของทั้งผู้ป่วยและญาติรวมทั้งทันตแพทย์และผู้ช่วยทันตแพทย์
ขอความร่วมมือผู้ป่วยช่วยปิดเสียงโทรศัพท์
เพราะทั้งทันตแพทย์และผู้ป่วยก็อยากจะให้การรักษาทางทันตกรรมรวดเร็ว
และราบรื่นหรือถ้ามีธุระจริงๆ อาจรอไว้ทำฟันให้เสร็จก่อนค่อยคุยจะดีกว่า
การวางแผนนัดหมาย นัดหมายล่วงหน้า
ถ้าจะให้ดีที่สุดควรจะติดต่อทำการนัดหมายล่วงหน้ามาก่อน
ซึ่งจะช่วยให้ทันตแพทย์วางแผนและควบคุมเวลา
ทั้งในแง่ของการให้การรักษา การเดินทางหรือกิจธุระอื่นๆ
ของผู้ป่วยไม่ใช่รอให้มีอาการหรือมีปัญหาก่อนแล้วค่อยมาฉุกเฉิน
ทุกอย่างอาจจะวุ่นวาย การรักษาอาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร
ในกรณีคนไข้เด็ก
ผู้ปกครองควรพาเด็กมาพบทันตแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ
ก่อนจะมีอาการเจ็บปวดในช่องปาก เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกดีๆ
มาทำความคุ้นเคยกับทันตแพทย์กับเก้าอี้ทำฟันก่อน
และไม่ควรปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ดีด้วยการขู่ว่า “เดี๋ยวจะให้หมอฉีดยานะ”
“เดี๋ยวจะให้หมอถอนฟันนะ” ข้อดีคือเด็กจะไม่เกิดความกังวล
ไม่เกิดความกลัวในการรักษาทางทันตกรรม การรักษาก็จะไม่ยุ่งยาก
ซับซ้อน ไม่เจ็บ ไม่แพง ไม่เสียเวลา ในขณะเดียวกัน
ถ้าปล่อยปละละเลยให้บุตรหลานของท่านมีฟันผุ
จนกระทั่งปวดแล้วค่อยมาหาทันตแพทย์ การรักษาในวันนั้นๆ ก็จะเจ็บ
มีค่าใช้จ่ายที่สูง และสุดท้ายก็ทำให้เด็กเกิดความกลัวในการมารักษาทางทันตกรรม
เมื่อรับการรักษาเสร็จเรียบร้อย ผู้ป่วยควรดูแลปฏิบัติตน
เพื่อเป็นการป้องกันโรคในทุกๆ วัน ซึ่งเป็นการรักษาที่ดีที่สุด
และควรมาพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตาม
เพราะจะเป็นผลดีต่อตัวท่านเอง ทั้งสุขภาพช่องปากที่ดีและประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
เลขที่ 888 ม.6 ถ.บรมราชชนนี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170
เบอร์ตรง 0-2849-6600