รักษารากฟันคืออะไร

การอุดฟัน คือ การทดแทนเนื้อฟันที่สูญเสียไปจากกรณีต่างๆ ดังนี้
1. ฟันผุ
2. ฟันสึก
3. ฟันแตกหักหรือบิ่นเนื่องจากอุบัติเหตุ
4. วัสดุอุดเก่าชำรุดหรือบิ่น
เพื่อให้กลับมามีรูปร่างฟันตามปกติ สามารถใช้บดเคี้ยวอาหารได้ รวมถึงมีความสวยงาม โดยเฉพาะในบริเวณฟันหน้า ทันตแพทย์จะเป็นผู้ตรวจและวินิฉัยว่าควรได้รับการอุดฟันหรือไม่
มารู้จักวัสดุอุดฟันกันเถอะ
วัสดุอุดฟันที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีดังนี้
1. วัสดุอุดโลหะ (อะมัลกัม)
2. วัสดุอุดสีเหมือนฟัน (เรซินคอมโพสิต)
นอกจากนี้ยังมีวัสดุอุดฟันชนิดอื่นๆ เช่น ทอง กลาสไอโอโนเมอร์ พอร์ซเลน
วัสดุอุดโลหะ (อะมัลกัม)
เป็นวัสดุอุดฟันที่คงทน แข็งแรง และราคาไม่แพง แต่เนื่องจากวัสดุมีสีเงิน/สีเทา มองแล้วไม่สวยงาม จึงไม่นิยมใช้ในบริเวณที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ฟันหน้า สำหรับผู้ป่วยที่อุดด้วยวัสดุอุดนี้ ไม่ควรเคี้ยวอาหารด้านที่อุดฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากวัสดุที่ใช้ ในระยะแรกยังมีความแข็งแรงไม่เต็มที่ มีโอกาสเสี่ยงต่อการแตกหักได้ อย่างไรก็ตามสามารถเคี้ยวอาหารได้ปกติภายหลัง 24 ชั่วโมง
วัสดุอุดสีเหมือนฟัน (เรซินคอมโพสิต)
เป็นวัสดุอุดที่มีสีใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ จึงมักถูกเลือกใช้สำหรับบริเวณที่ต้องการความสวยงาม วัสดุอุดนี้มีความแข็งแรงพอสมควร แต่รับแรงบดเคี้ยวได้น้อยกว่าวัสดุอุดโลหะจึงไม่นิยมใช้อุดฟันขนาดใหญ่ อาจจะเกิดการบิ่น แตกหักได้ง่าย และมีราคาแพงกว่าวัสดุอุดโลหะ นอกจากนี้ในระยะยาวสามารถติดสีคราบจากชา กาแฟ หรือยาสูบได้
ฟันที่ได้รับการอุดจะอยู่กับเราได้นานเท่าใด ?
ความคงทนของวัสดุอุดนั้นขึ้นอยู่กับ
• ชนิดของวัสดุอุดที่ใช้
• การบดเคี้ยว การใช้งาน การเลือกรับประทานอาหาร ที่ไม่แข็ง และเหนียวเกินไป
• การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากที่ดี
• พฤติกรรมของแต่ละบุคคล เช่น นอนกัดฟัน การแปรงฟันแรงเกินไป เป็นต้น
สรุป
การอุดฟัน เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียเนื้อฟันที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆ เท่านั้น แต่การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของตนเอง ด้วยการแปรงฟันที่ถูกวิธี ลดพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่ดี เช่น การกินอาหารที่เหนียวติดฟัน การใช้ฟันผิดหน้าที่ ชอบเคี้ยวของแข็ง ฯลฯ และมาพบทันตแพทย์เป็นประจำ ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก
รากฟันเทียมเหมาะกับใครบ้าง ?
รากฟันเทียม สามารถทำได้กับผู้ใหญ่ที่มีอายุ 21 ปี ขึ้นไป มีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะรับการผ่าตัดในช่องปากได้อย่างปลอดภัยในกรณีวัยรุ่นจะยังมีการเจริญเติบโตของกระดูกขากรรไกร จึงจำเป็นต้องรอให้ขากรรไกรหยุดการเจริญเติบโตก่อน จึงจะสามารถใส่รากฟันเทียมได้
ข้อดีของรากฟันเทียม
– ในกรณีที่ทำเพื่อแทนฟันที่ถอนไปบางซี่จะไม่มีการสูญเสียเนื้อฟันธรรมชาติของฟันข้างเคียงที่เหลืออยู่ เมื่อเปรียบเทียบกับการทำสะพานฟัน
– ในกรณีที่ทำเป็นฟันเทียมชนิดถอดได้ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดติดของฟันเทียมในช่องปาก
– คล้ายฟันธรรมชาติ (ใช้งานและสวยงามใกล้เคียงฟันธรรมชาติ)
ข้อเสียของรากฟันเทียม
– ค่าใช้จ่ายสูง และถ้าหากผู้ป่วยมีกระดูกไม่แข็งแรง หรือไม่เพียงพอก็ต้องมีการผ่าตัดและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
– การผ่าตัดฝังรากฟันเทียมอาจจะต้องมีการผ่าตัดหลายครั้ง
– ใช้ระยะเวลาในการรักษาจนเสร็จสมบูรณ์นานกว่าการทำสะพานฟันปกติ เนื่องจากต้องแบ่งการรักษาเป็น 2 ระยะ โดยการทำรากฟันเทียมจะต้องใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 2 – 3 เดือน
ขั้นตอนทั่วไปของการรักษาด้วยรากฟันเทียม
– พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสภาพฟันต่างๆ ภายในช่องปากและพิมพ์ปากเพื่อนำมาวางแผนการรักษา
– ถ่ายภาพรังสีเพื่อประเมินสภาพกระดูกและโครงสร้างอื่น เช่น เส้นประสาท โพรงอากาศของคนไข้
– ฝังรากฟันเทียมและรอไปอีกอย่างน้อย 2 – 3 เดือน เพื่อให้เกิดการยึดติดของรากฟันเทียมกับกระดูก
– ทำครอบฟัน สะพานฟัน หรือฟันเทียมชนิดอื่น
การดูแลรักษา
หลังการปลูกรากฟันเทียมสามารถดูแลและรักษาสุขภาพของปากและฟันได้เหมือนการดูแลปกติทั่วไป และทำความสะอาดเป็นพิเศษ บริเวณที่ทำการปลูกรากฟันเทียมและบริเวณเหงือกโดยรอบ ด้วยแปรงขัดที่มีลักษณะพิเศษ ขนาดเล็กและควรเข้ารับการตรวจช่องปากกับทันตแพทย์เป็นประจำ
การรักษาด้วยการฝังรากเทียมนี้ หากได้รับการดูแลอย่างถูกต้องและเข้ารับการตรวจสภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ ฟันทดแทนก็สามารถมีอายุการใช้งานเสมือนหนึ่งฟันแท้ซี่อื่นๆ เช่นกัน
การมีสุขภาพช่องปากที่ดีมีความสำคัญกับทุกวัย และยิ่งสำคัญเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุเพราะฟันของผู้สูงอายุที่เหลืออยู่ มีการเปลี่ยนแปลงจากการใช้งานมายาวนาน หรือมีโรคที่เป็นมาตั้งแต่ก่อนถึงวัยสูงอายุ มีการสูญเสียฟัน เกิดช่องว่าง ทำให้การดูแลรักษาความสะอาดทำได้ยากกว่าฟันทั่วๆ ไป ผู้สูงอายุที่มีสุขภาพช่องปากดีจะช่วยให้รู้สึกสบาย รับประทานอาหารได้อร่อยและหลากหลายประเภท มีร่างกายแข็งแรง ช่วยการพูดออกเสียงได้ชัดเจน ไม่ต้องกังวลในการเข้าสังคมและส่งเสริมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ถ้าสุขภาพช่องปากไม่ดีจะมีความเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ ได้ เพราะจุลินทรีย์จากการติดเชื้อในช่องปากอาจผ่าเข้าสู่กระแสเลือดไปที่หัวใจ โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติความผิดปกติของหัวใจหรือเข้าสู่ทางเดินหายใจ
ปัญหาสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุมีอะไรบ้าง
ปัญหาสุขภาพช่องปากที่พบบ่อยในผู้สูงอายุคือโรคฟันผุและเหงือกอักเสบซึ่งทำให้เกิดการสูญเสียฟัน ทั้งโรคฟันผุและเหงือกอักเสบหรือปริทันต์อักเสบมีสาเหตุจากคราบจุลินทรีย์ (plaque) คราบจุลินทรีย์คือแผ่นคราบนิ่มๆ สีขาวที่มีเชื้อแบคทีเรีย คราบนี้สะสมที่ฟันและขอบเหงือก ดังนั้นการกำจัดคราบจุลินทรีย์โดยแปรงฟันให้สะอาดทุกวันจะช่วยป้องกันฟันผุ และเหงือกอักเสบ และลดการติดเชื้อในช่องปากได้
การดูแลสุขภาพช่องปากสำหรับผู้สูงอายุที่มีฟันธรรมชาติ
• แปรงฟันให้สะอาดด้วยแปรงชนิดขนแปรงนิ่มร่วมกับยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง คือ เช้าและก่อนนอน
• ควรเลือกแปรงที่มีด้ามจับถนัดมือ หรือดัดแปลงด้ามจับให้มีขนาดเหมาะสมกับมือผู้สูงอายุ
• พยายามแปรงฟันทุกซี่ ทุกด้าน เพื่อกำจัดคราบอาหารและคราบจุลินทรีย์
• ใช้แปรงที่มีหัวแปรงขนาดเล็ก แปรงฟันซี่ที่อยู่โดดๆ
• ใช้ไหมขัดฟัน (dental floss) เช็ดทำความสะอาดบริเวณซอกฟัน เพราะขนแปรงสีฟันทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงบริเวณนี้ หรืออาจเลือกใช้แปรงซอกฟัน (proxabrush) ที่มีขนาดเหมาะสมกับซอกฟันตามคำแนะนำของทันตแพทย์
• ใช้ผ้าก๊อซพับเป็นแถบขนาดเล็กโอบเช็ดฟันด้านที่ติดกับช่องว่างที่ถอนฟันไปโดยเช็ดให้ชิดกับขอบเหงือก
ฟันเทียม คือ ฟันที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป ฟันเทียมมี 2 ประเภทด้วยกัน คือ ฟันเทียมชนิดติดแน่น และ ฟันเทียมชนิดถอดได้
ฟันเทียมเถื่อน คือ ฟันเทียมที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นจากบุคคลที่มิใช่ทันตแทพย์ที่มีใบประกอบวิชาชีพ
1. ฟันเทียมที่ทำโดยทันตแพทย์ต่างกับฟันเทียมที่ทำตามแผงลอยอย่างไร ?
ฟันเทียมที่ทำโดยทันตแพทย์นั้นจะมีการออกแบบ และทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องตามหลักการ ซึ่งฟันเทียมที่ได้จะมีการยึดอยู่ และถ่ายทอดแรงสู่ฟันธรรมชาติและเนื้อเยื่อได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ต่างจากฟันเทียมเถื่อนที่มีการออกแบบได้ไม่ถูกต้องตามหลักการ และอาจรวมถึงกระบวนการทำที่ไม่สะอาดปลอดภัย ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายตามมาได้
2. อันตรายจากการทำฟันเทียมเถื่อน
– เนื้อเยื่อภายในช่องปากอักเสบ บวมแดง อาจรุนแรงถึงขั้นมีการละลายตัวของกระดูกขากรรไกร
– ฟันโยก แตก หรือหัก เหงือกรอบตัวฟันอักเสบ บวมแดง เป็นหนอง
– เกิดการติดเชื้อบริเวณใบหน้าขากรรไกร จากการใช้อุปกรณ์ที่ไม่สะอาดถูกหลักอนามัย หรือการใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสม
3. การแก้ไข และการรักษาเมื่อมาพบทันตแพทย์
ฟันเทียมเถื่อนโดยมากไม่สามารถแก้ไขได้ และควรทำชุดใหม่ ทันตแพทย์จะตรวจภายในช่องปาก และถ่ายภาพรังสีในช่องปากอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนพิจารณาวางแผนการรักษาและออกแบบฟันเทียมชุดใหม่
4. คำแนะนำ
ผู้ป่วยส่วนมากเลือกที่จะทำฟันเทียมเถื่อนเพราะสะดวก รวดเร็ว และราคาถูกกว่าการทำฟันเทียมกับทันตแพทย์ ทันตแพทย์อยากให้ผู้ป่วยตระหนักถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นภายหลังการใส่ฟันเทียมเถื่อนให้มาก ซึ่งบางครั้งอาจไม่คุ้มค่ากับเวลาเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตามการทำฟันเทียมกับทันตแพทย์จะได้ฟันเทียมที่สวยงาม ใช้งานได้นาน และได้มาตรฐานสะอาดปลอดภัย แม้จะใช้เวลาที่มาพบทันตแพทย์หลายครั้งและราคาสูงกว่า
5. สรุป
ทันตแพทย์แนะนำให้ผู้ป่วยเลี่ยงการทำฟันเทียมกับผู้ที่ไม่ใช่ทันตแพทย์ และมารับการรักษาที่ดีการทันตแพทย์จะดีที่สุด
การทำครอบฟัน (Crown)
เป็นการบูรณะฟันโดยการใช้วัสดุทั้งซี่เพื่อทำให้ฟันซี่นั้นแข็งแรงขึ้น หรือตกแต่งรูปทรงให้ฟันสวยงามหรือเป็นระเบียบมากขึ้น
เมื่อใดจึงจะทำครอบฟัน
ข้อดีของครอบฟัน
– เพื่อบูรณะให้ฟันกลับมามีรูปร่างเหมือนเดิม
– สามารถปรับแต่งรูปร่างและการเรียงตัวของฟันได้
– ในฟันมีความผิดปกติ โครงสร้างฟันอ่อนแอ จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ฟันได้
การทำสะพานฟัน (Bridge)
เป็นการทดแทนฟันที่สูญเสียไป ด้วยการยึดซี่ฟันปลอมเข้ากับฟันซี่ข้างเคียงอย่างถาวร (ถอดออกมาล้างไม่ได้) อย่างไรก็ดี ฟันซี่ข้างเคียงจะถูกกรอเพื่อเตรียมเป็นหลักของสะพานฟัน
เมื่อใดจึงจะทำสะพานฟัน
ช่องฟันที่หายไปเป็นช่องขนาดเล็ก (ขนาดประมาณ 1 – 2 ซี่) โดยมีฟันที่จะใช้เป็นฟันหลักยึดสะพานฟัน 2 ซี่ อยู่ข้างๆ ช่องฟันที่หายไป
ข้อดีของสะพานฟัน
– สามารถทดแทนฟันซี่ที่สูญเสียไป ช่วยป้องกันการล้มของฟันซี่ข้างเคียง หรือการงอกของฟันคู่สบมายังช่องว่างระหว่างฟัน
– สะพานฟันสามารถออกแบบให้ดูเป็นธรรมชาติ คล้ายคลึงกับฟันตามธรรมชาติของผู้ป่วย ไว้ทดแทนช่องว่างจากการ สูญเสียฟัน เพิ่มความสวยงามอีกด้วย
ประเภทของครอบฟันและสะพานฟัน
การดูแลรักษาครอบฟันและสะพานฟัน
การแปรงฟัน
ควรแปรงฟันหลังอาหารทุกครั้ง โดยแปรงบริเวณผิวด้านบน และด้านข้างของฟัน เหมือนกับการแปรงฟันทั่วไป บางกรณีควรใช้แปรงซอกฟันทำความสะอาดบริเวณช่องว่างระหว่างฟันร่วมด้วยเพื่อความสะอาดยิ่งขึ้น
การใช้ไหมขัดฟัน
ควรใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดฟันและใต้สะพานฟันเพื่อกำจัดเศษอาหารและแบคทีเรียบริเวณซอกฟัน อย่างน้อยวันละครั้ง
การพบทันตแพทย์
ควรพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน หรือ ปีละ 2 ครั้ง
“เมื่อได้เห็นรอยยิ้มสะพานฟัน ไม่เปลี่ยนผันจากฟันจริงมากเท่าไหร่
ยิ้มสวยได้ทุกวันไม่อายใคร เพราะนี่ไงยิ้มสวยด้วยสะพานฟัน”
1. ต่อมน้ำลายหน้ากกหู (Parotid gland) ในมนุษย์เป็นต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ที่สุด อยู่หน้ากกหู ผลิตน้ำลายชนิดใส มีตำแหน่งทางเปิด เห็นเป็นปุ่มเนื้อเยื่ออยู่ตรงข้ามกับตัวฟันของฟันกรามหลังบนซี่ที่สอง ผลิตน้ำลาย ร้อยละ 20 – 25 ของน้ำลายทั้งหมด
2. ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่าง (Submandibular gland) อยู่บริเวณใต้ขากรรไกรล่าง ผลิตน้ำลายชนิดใส (ผลิตเป็นหลัก) และชนิดเหนียว มีตำแหน่งทางเปิดอยู่ใต้ลิ้น เห็นเป็นปุ่มเนื้อเยื่ออยู่ข้างเนื้อยึดลิ้น ผลิตน้ำลายส่วนใหญ่ ร้อยละ 70 – 75 ของน้ำลายในช่องปาก
3. ต่อมน้ำลายใต้ลิ้น (Sublingual gland) อยู่บริเวณใต้ลิ้น ผลิตน้ำลายชนิดเหนียว (ผลิตเป็นหลัก) และชนิดใส มีตำแหน่งทางเปิดอยู่ใต้ลิ้น ถัดจากตำแหน่งทางเปิดของต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกรล่างมาทางด้านข้าง
นอกจากต่อมน้ำลายหลัก เรายังสามารถพบต่อมน้ำลายย่อย ซึ่งมีขนาดเล็ก กระจายตัวเป็นกลุ่มๆ อยู่ตามเนื้อเยื่อในช่องปาก ได้แก่ ริมฝีปากด้านใน กระพุ้งแก้ม ลิ้น และเพดานปาก ต่อมน้ำลายย่อยนี้ส่วนใหญ่จะผลิตน้ำลายชนิดเหนียว
ส่วนประกอบของน้ำลายมีอะไรบ้าง ?
น้ำลายมนุษย์ ประกอบด้วย น้ำ ถึงร้อยละ 99.5 ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 0.5 ประกอบไปด้วย อิเล็กโทรไลท์ (Electrolytes) หรือเกลือแร่ ได้แก่ โซเดียม โปแตสเซียม คลอไรด์ ไบคาร์บอเนทและฟอสเฟต มูกเมือก (Mucus) ประกอบด้วยแป้งและโปรตีน สารต้านเชื้อแบคทีเรีย และเอนไซม์ย่อยอาหารจำพวกแป้ง และไขมัน
น้ำลาย มีประโยชน์อย่างไร ?
1. ก่อให้เกิดความชุ่มชื่นในช่องปาก และป้องกันเนื้อเยื่อในช่องปากจากภยันตรายต่าง ๆ ระหว่างการเคี้ยว การกลืน และการพูดคุย
2. ช่วยในการย่อยอาหาร น้ำลายช่วยทำให้อาหารมีความนุ่มง่ายต่อการย่อย และยังมีองค์ประกอบของเอนไซม์ Amylase และ Lipase ที่ช่วยในการย่อยอาหารจำพวกแป้ง และไขมัน ตามลำดับ ก่อนส่งต่อไปยังกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก
3. ช่วยป้องกันฟันผุ โดยน้ำลายทำหน้าที่เป็นสารบัฟเฟอร์จากองค์ประกอบของอิเล็กโทรไลท์ ควบคุมความเป็นกรดเป็นด่างที่เหมาะสมในช่องปาก อยู่ที่ประมาณ pH 6.2 – 7.4 ซึ่งถ้าสมดุลในส่วนนี้ถูกรบกวน เกิดความเป็นกรดที่สูงขึ้น จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคฟันผุ ในทางตรงกันข้ามถ้าเกิดความเป็นด่างที่สูงขึ้น จะมีโอกาสเกิดหินปูนได้มาก ทำให้เกิดโรคปริทันต์
4. ช่วยในการรับรส โดยส่งเสริมการทำหน้าที่ของปุ่มรับรส เราจะสังเกตเห็นได้ว่าในคนไข้ที่มีน้ำลายน้อย เช่น ผู้สูงอายุ หรือคนไข้ที่ทานยาที่มีผลต่อการลดการหลั่งน้ำลาย มักจะมีการรับรสที่ผิดปกติ
5. ในน้ำลายมีสารที่ฆ่าเชื้อโรคได้ คือ สารอิมมูโนโกลบูลินเอ (IgA) แลคโตเฟอริน และแลคโตเพอร์ออกซิเดส เวลามีแผลในปาก สารเหล่านี้จะทำให้แผลหายเร็วขึ้น ฆ่าเชื้อโรคได้
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้น้ำลายมีประโยชน์มากมาย แต่ในขณะเดียวกันน้ำลายอาจเป็นส่วนที่แพร่กระจายเชื้อโรค ทำให้เกิดโรคติดต่อจากบุคคลหนึ่งสู่บุคคลหนึ่งได้เช่นกัน เช่น โรคเริม โรคไวรัสตับอักเสบบี เป็นต้น
ปริมาณ น้ำลาย/วัน ในมนุษย์
โดยเฉลี่ยมีการศึกษารายงานว่าปริมาณน้ำลายถูกหลั่งอยู่ในช่วง 0.75 – 1.5 ลิตร/วัน และเป็นที่ยอมรับว่าปริมาณน้ำลายจะมีการหลั่งที่น้อยลง หรือหยุดผลิตระหว่างการนอนหลับ หรือในช่วงเวลากลางคืน จึงเป็นสาเหตุให้เมื่อตื่นนอนคนเรามักจะมีกลิ่นปาก หรือถ้าไม่แปรงฟันก่อนนอนจะเพิ่มโอกาสฟันผุเพราะมีตัวฆ่าเชื้อในช่องปากที่ลดลง
จากที่กล่าวมาข้างต้น น้ำลายมีความสำคัญอย่างมาก ถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นต่อการหลั่งน้ำลายที่น้อยลง ด้วยสาเหตุต่าง ๆ อาทิเช่น ภาวะสูงอายุ ยาที่มีผลลดการหลั่งน้ำลาย โรคทางระบบ เช่น เบาหวาน โรคเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันที่มีผลต่อต่อมน้ำลาย ต่อมน้ำลายติดเชื้อ มะเร็งต่อมน้ำลาย ภาวะหลังการรักษามะเร็งที่ศีรษะและลำคออาจจะด้วยเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด ซึ่งจะมีผลต่อต่อมน้ำลาย เมื่อต่อมน้ำลายมีความผิดปกติ หลั่งน้ำลายได้น้อย (Hyposalivation) จะส่งผลให้เกิดสภาวะปากแห้ง (Dry mouth / Xerostomia) เสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ ในช่องปาก เช่น ฟันผุ โรคเหงือกและปริทันต์อักเสบ แผลอักเสบในช่องปาก กลิ่นปาก ติดเชื้อราในช่องปาก ถึงตอนนี้เราได้เรียนรู้ว่าน้ำลายไม่ใช่แค่ของเหลวธรรมดาๆ แต่เป็นของเหลวที่ถูกสร้างขึ้นจากร่างกายมีความสำคัญช่วยทำให้เราดำเนินชีวิตได้ตามปกติ หากเรามีความผิดปกติของน้ำลาย หรืออยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการหลั่งน้ำลายน้อยตามที่อธิบายข้างต้น เราควรจะสังเกตอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ และควรมีการดูแลเอาใจใส่สุขภาพช่องปากเป็นพิเศษด้วยตนเองจากทันตแพทย์และแพทย์
ทันตกรรมเพื่อความสวยงามมีกี่ประเภท ?
โดยหลักๆ จะมีอยู่ 4 แบบ คือ การฟอกสีฟัน เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น การทำวีเนียร์หรือเคลือบฟันเทียม เพื่อปรับรูปร่างและขนาดของฟันให้เหมาะสม การทำครอบฟัน มีการเรียงตัวที่ผิดปกติไปมาก ทำในฟันที่ได้รับการรักษารากฟันไปแล้ว การอุดฟันด้วยวัสดุอุดสีเหมือนฟัน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการจัดฟัน
การฟอกสีฟันคืออะไร ?
คือการนำสารเคมีจำพวกเปอร์ออกไซด์ทาไปบนตัวผิวฟันเพื่อให้ฟันเกิดการแตกตัวของเม็ดสี ทำให้สีของฟันขาวขึ้น โดยทั่วไปแบ่งออกไป 2 ลักษณะ คือ การฟอกด้วยตัวเองที่บ้าน หรือที่เรียกว่า Home Bleaching และการฟอกโดยทันตแพทย์ ที่เรียกว่า In-Office Bleaching โดย Home Bleaching ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปากของคนไข้ แล้วก็ส่งไปทำถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคล ซึ่งถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลก็จะใส่ร่วมกับสารฟอกสีฟัน ส่วนวิธี In-Office Bleaching ทันตแพทย์ก็จะทำการทาสารลงไปบนตัวฟันทิ้งไว้ โดยที่มีการกระตุ้นให้สารตัวนี้ทำงานโดยใช้แสงสีฟ้าหรือแสงเลเซอร์ ทำการฟอกประมาณ 2 – 4 ชั่วโมง แต่วิธีนี้จะทำให้ฟันขาวเร็วขึ้น แต่ความเสถียรของความขาวมีอยู่ค่อนข้างน้อย ทันตแพทย์จึงนิยมใช้วิธี In-Office Bleaching ร่วมกับการทำ Home Bleaching
การเคลือบผิวฟันคืออะไร ?
การเคลือบผิวฟันหรือทำวีเนียร์ ทันตแพทย์ก็จะทำการประเมินแล้วกรอแต่งฟัน โดยการกรอแต่งฟันทันตแพทย์จะกรอฟันให้น้อยที่สุด ทำการพิมพ์ปากแล้วส่งไปให้แลป แลปก็จะทำเป็นชิ้นงานส่งมาให้ให้ทันตแพทย์เพื่อที่จะยึดกลับไปในคนไข้ โดยชิ้นงานจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ คอมโพสิตหรือเซรามิค ซึ่งความคงทนและแข็งแรงของเซรามิคจะมีสูงกว่า ค่าใช้จ่ายก็จะแพงกว่าแบบคอมโพสิต
เลขที่ 888 ม.6 ถ.บรมราชชนนี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170
เบอร์ตรง 0-2849-6600