การผ่าตัดขากรรไกรเพื่อแก้ไขการสบฟันผิดปกติ ในปัจจุบัน มีการผ่าตัดรักษาแก่ผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก เป็นการผ่าตัดที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญชำนาญของทันตแพทย์สาขาศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียลที่มีความเชี่ยวชาญแตกต่างกัน รวมทั้งทีมผ่าตัดที่มีความสามารถเฉพาะ และเครื่องมือผ่าตัดที่เฉพาะเจาะจงสำหรับการผ่าตัดประเภทนี้ ดังนั้น หากผู้ป่วยเอง หรือผู้ปกครองของผู้ป่วยที่อยู่ในวัยนักศึกษา ที่กำลังสืบค้นสถานที่ที่ให้การรักษาที่ดีที่สุดแก่ตัวท่านเอง หรือคนที่ท่านรัก ท่านควรใช้วิจารณญาณอย่างดีที่สุดก่อนตัดสินใจ เนื่องจากการผ่าตัดขากรรไกรนี้ เป็นแนวทางการรักษาที่ซับซ้อน ใช้เวลาในการรักษายาวนาน มีการเปลี่ยนแปลงการสบฟันและใบหน้า ที่แตกต่างไปจากเดิม มีผลข้างเคียงต่างๆ และอาจจำเป็นต้องมีการแก้ไขปรับปรุงหลังผ่าตัดไปแล้ว เนื่องจากความซับซ้อนของปัญหาที่ผู้ป่วยมีมาแต่เดิม ดังนั้น เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับความต้องการของผู้ป่วย ให้ได้ผลการรักษาที่คุ้มค่า ที่จะสร้างความสุขในการดำรงชีวิตประจำวันให้สมบูรณ์ จิตใจแจ่มใส เพิ่มความมั่นใจในตนเองทั้งในการทำงานและในสังคม ข้อมูลนี้ จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ทุกท่านที่กำลังตัดสินใจเข้ารับการรักษา ได้ศึกษาและวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง เพื่อเตรียมความเข้าใจอย่างรอบด้าน ก่อนการรับการรักษา
ข้อบ่งชี้ของการรักษา
การผ่าตัดขากรรไกรเพื่อแก้ไขการสบฟันผิดปกติ มีข้อบ่งชี้ดังนี้
- ผู้ป่วยมีความผิดปกติของการสบฟัน ที่การรักษาโดยวิธีจัดฟันแบบปกติ ไม่สามารถแก้ไขได้
- ผู้ป่วยมีความผิดปกติของความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรร่วมการสบฟันที่มีใบหน้าที่ไม่สมส่วน
ผู้ป่วยที่ไม่เหมาะสมต่อการรักษา
- ผู้ป่วยมีความผิดปกติทางร่างกายและจิตใจที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบทั่วไป
- ผู้ป่วยที่ยังอยู่ในช่วงอายุที่ยังไม่หมดการเจริญเติบโต
- ผู้ป่วยและ/หรือครอบครัว ไม่ประสงค์หรือสนับสนุนต่อการรักษาตั้งแต่ต้น
- ผู้ป่วยและ/หรือครอบครัว แสดงความต้องการ ความคาดหวังต่อผลการผ่าตัดเกินความเป็นจริง
- ผู้ป่วยที่มีข้อจำกัดในเรื่องค่าใช้จ่าย
ผลข้างเคียงสำคัญจากการผ่าตัดขากรรไกร ที่ผู้ป่วยควรทราบ
- หลังการผ่าตัด มักต้องมีอาการชาริมฝีปาก ใบหน้า แตกต่างกันในแต่ละบุคคล อาจหายเป็นปกติได้ หรือ อาจไม่กลับมาเป็นปกติตลอดไป ถึงแม้ว่าแพทย์ผ่าตัด จะใช้ความระมัดระวังอย่างถึงที่สุดแล้ว
- อาจมีการแตกหักของกระดูกขากรรไกรอันเป็นอุบัติเหตุ ที่เกิดจากลักษณะของกระดูกขากรรไกรแต่ละบุคคล หากเกิดขึ้นแล้ว ศัลยแพทย์ จะทำการแก้ไขเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อของกระดูกกลับมาใช้งานได้ตามปกติ
- อาจต้องทำการผ่าตัดซ้ำ หากการสบฟัน ความสมมาตรของใบหน้าและฟัน ความสวยงามต่างๆของใบหน้า ยังไม่เป็นที่พึงพอใจ ถึงแม้ว่า จะได้รับการวางแผนการรักษาอย่างดีที่สุดแล้ว
ขั้นตอนการรับการรักษา
แบ่งออกเป็น 4 ขั้นตอน
ขั้นตอนที่ 1 การตรวจประเมินเบื้องต้น
ขั้นตอนที่ 2 การจัดฟันเพื่อเตรียมลักษณะการสบฟันเพื่อการผ่าตัด
ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนการผ่าตัด การผ่าตัดและการดูแลภายหลังการผ่าตัด
ขั้นตอนที่ 4 การจัดฟันภายหลังการผ่าตัดเพื่อปรับการสบฟันระยะสมบูรณ์
ขั้นตอนที่ 1 การตรวจประเมินเบื้องต้น
ผู้ป่วยที่ประสงค์รับการรักษา ต้องได้รับคำปรึกษา และให้ข้อมูลจากทันตแพทย์จัดฟันและทันตแพทย์ผู้ให้การผ่าตัดในประเด็นต่างๆ ที่สำคัญ
- การพูดคุยเกี่ยวกับข้อมูลความต้องการของผู้ป่วย ในประเด็นของ ความต้องการสำคัญของผู้ป่วย ผู้ป่วยต้องอธิบายความต้องการสำคัญตั้งแต่เริ่มต้น ความต้องการสำคัญ อยู่ในประเด็นของ
- การต้องการแก้ไขการสบฟัน
- การต้องการแก้ไขความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกร
- การต้องการแก้ไขความสวยงามของใบหน้า
ความต้องการสำคัญของผู้ป่วย ต้องได้รับการเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลัง เพื่อให้การตัดสินใจรับการรักษาของผู้ป่วย ถูกต้อง ซึ่งหากพูดคุยแล้ว ความต้องการของผู้ป่วยอยู่ในระดับเกินความเป็นไปได้ การเริ่มต้นการรักษาต้องระงับทันที
- เมื่อได้รับข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษา รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการรักษาแล้ว จะเริ่มต้นการตรวจร่างกายและประเมินทางทันตกรรม
- ตรวจร่างกายทั่วไป เพื่อประเมินข้อจำกัดและโรคที่เป็นข้อห้ามในการผ่าตัดภายใต้การดมสลบทั่วไป
- ตรวจทางทันตกรรม ประเมินการสบฟันและสุขภาพทางทันตกรรมอื่นๆที่ต้องทำก่อนการจัดฟัน เช่น อุดฟัน ขูดหินปูน
- ทำการพิมพ์ปาก เพื่อให้ได้แบบพิมพ์ฟันต้นแบบ เพื่อการศึกษาวิเคราะห์การสบฟันอย่างละเอียด
- ทำการถ่ายภาพรังสีทันตกรรม และขากรรไกรในระนาบต่างๆ เพื่อใช้วิเคราะห์ความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรและฟัน
- วางแผนการรักษาเบื้องต้น ภายหลังได้แบบพิมพ์ฟันและภาพรังสี รวมทั้งการถ่ายภาพใบหน้าและช่องปาก เพื่อลำดับขั้นตอนการการรักษา ตั้งแต่การกำหนดซี่ฟันที่ต้องทำการถอนออกเพื่อการจัดฟัน แผนการจัดฟัน ระยะเวลา แนวทางการผ่าตัด
- ทำความเข้าใจระหว่างผู้ป่วย และทันตแพทย์ผู้ให้การรักษาอีกครั้ง เพื่อทำข้อตกลงเพื่อการรักษาอย่างเป็นทางการ เนื่องจาก การรักษาแนวทางนี้ ไม่สามารถแก้ไขกลับคืนได้เหมือนดังเดิม ถึงแม้ว่า จะไม่ทำการผ่าตัดภายหลังเริ่มการจัดฟันไปแล้วก็ตาม เนื่องจากแนวการสบฟันจะผิดไปจากเดิมมาก ดังนั้น ผู้ป่วย ต้องตัดสินใจให้แน่ชัดอีกครั้ง เพื่อป้องกันปัญหาในภายหลัง
ขั้นตอนที่ 2 การจัดฟันเพื่อเตรียมลักษณะการสบฟันเพื่อการผ่าตัด
การจัดฟันเพื่อเตรียมลักษณะการสบฟันเพื่อการผ่าตัด จะไม่เหมือนการจัดฟันเพื่อการแก้ไขการสบฟันแบบปกติ เนื่องจากการสบฟันที่ผิดปกติที่เกิดจากทั้งการเรียงตัวของฟันที่ผิดปกติร่วมกับความสัมพันธ์ของกระดูกเบ้าฟันและกระดูกขากรรไกรที่ผิดปกติ ไม่สามารถจัดฟันให้อยู่ในการเรียงตัวที่ดีได้เหมือนฟันในกระดูกขากรรไกรที่ปกติทั่วไป ดังนั้น การจัดฟันในขั้นตอนที่ 2 นี้ จะทำให้แนวการสบฟันขณะทำการจัดฟัน ดูเหมือนผิดปกติเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ หากได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรแล้ว จะทำให้เกิดลักษณะการสบฟันที่สมบูรณ์ตามที่ได้วางแผนไว้ตั้งแต่ต้น ระยะเวลาที่ใช้ในขั้นตอนที่ 2 นี้ อาจใช้เวลาสั้นยาวแตกต่างกัน ขึ้นกับระดับความยากง่ายของการบังคับฟันเพื่อให้เกิดการเรียงตัวตามแผนการรักษาที่ต้องการ
ขั้นตอนการจัดฟันมีขั้นตอนดังนี้
- กำหนดซี่ฟันที่ต้องถอน ส่วนใหญ่ ฟันกรามคุด ฟันเกินในกระดูกขากรรไกร ต้องทำการผ่าตัดกำจัดออกทั้งหมดก่อนการจัดฟัน
- ภายหลังการถอนฟัน และผ่าตัดกำจัดฟันคุด ฟันเกินแล้ว จึงเริ่มทำการจัดฟัน
- เมื่อการจัดฟันสามารถจัดเรียงฟันได้ตามแผนการรักษาที่ได้วางไว้ จึงทำการพิมพ์แบบฟัน เพื่อใช้วิเคราะห์การสบฟันเพื่อการผ่าตัด
ขั้นตอนที่ 3 การวางแผนผ่าตัด การผ่าตัดและการดูแลภายหลังการผ่าตัด
เมื่อผู้ป่วยได้รับจัดฟันจนได้การเรียงฟันตามแผน ผู้ป่วยจะได้รับการส่งตัวมาเตรียมการผ่าตัดกับทันตแพทย์ศัลยศาสตร์ช่องปากและแม็กซิลโลเฟเชียล โดยจะมีขั้นตอนการดำเนินการดังนี้
- ตรวจประเมินการสบฟันจากแบบพิมพ์ฟันและการสบฟันในช่องปาก เพื่อประเมินความสมบูรณ์ของการเรียงฟัน หากพบว่าการเรียงฟันยังไม่สมบูรณ์ ผู้ป่วยจะต้องได้รับการจัดฟันเพื่อปรับการเรียงฟันอีกครั้ง จนกว่าจะเหมาะสมต่อการผ่าตัด
- เมื่อประเมินการสบฟันได้ตามแผนที่วางไว้และเหมาะสมต่อการผ่าตัดแล้ว จะทำการประเมินแผนการผ่าตัดว่า ควรจะผ่าตัดในลักษณะใด ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ
ลักษณะการผ่าตัดขากรรไกร แบ่งออกได้เป็น การผ่าตัดขากรรไกรเดี่ยว และการผ่าตัดขากรรไกรร่วม 2 ขากรรไกร นอกจากนี้ ยังมีการผ่าตัดที่จำเป็น ได้แก่ การผ่าตัดแยกส่วนร่วมผ่าตัดขากรรไกร การผ่าตัดเพื่อเปลี่ยนตำแหน่งปลายคาง การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของขอบขากรรไกรล่างในตำแหน่งต่างๆ และการผ่าตัดอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับความสวยงามของใบหน้า
การผ่าตัดขากรรไกรเดี่ยว โดยทั่วไป มักหมายถึงการผ่าตัดขากรรไกรล่าง แต่ในบางราย อาจทำการผ่าตัดเฉพาะขากรรไกรบน การผ่าตัดขากรรไกรล่าง เป็นการผ่าตัดที่กรามทั้งสองข้าง โดยวิธีการแยกแผ่นกระดูกเพื่อเคลื่อนส่วนที่แยกออก ไปอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ที่ได้ผลการสบฟันที่สมบูรณ์ที่สุด นอกจากนี้ อาจมีความจำเป็นที่จะต้องทำการผ่าตัดอื่นๆร่วม ได้แก่ การผ่าตัดเคลื่อนตำแหน่งคาง หรือการลดขนาดของขอบขากรรไกรล่างในตำแหน่งต่างๆที่มีความผิดปกติ หรือ การผ่าตัดตำแหน่งอื่น เกี่ยวเนื่องกับความสวยงาม
การผ่าตัด 2 ขากรรไกร หมายถึง การผ่าตัดขากรรไกรบนและขากรรไกรล่าง พร้อมกันในการผ่าตัดครั้งเดียวกัน โดยมีข้อบ่งชี้ เช่น
- ความผิดปกติที่พบ เกิดจากขากรรไกรบนและล่าง
- พบว่า ใบหน้าส่วนกลาง มีมิติที่ผิดปกติ ทั้งในแนวหน้าหลัง และในแนวดิ่ง
- กระดูกขากรรไกรบนมีระนาบการสบฟันของขากรรไกรบนเอียง ร่วมเส้นแบ่งฟันตัดหน้าบนผิดไปจากแนวกึ่งกลางของใบหน้า
- แนวการสบฟันตามความสัมพันธ์ของกระดูกเบ้าฟันของขากรรไกรบนและล่าง ไม่สอดคล้องกัน เป็นต้น
เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อผู้ป่วย ที่จะได้รับผลการรักษาที่สมบูรณ์ที่สุด การสบฟันที่ดีขึ้น ความสัมพันธ์ของกระดูกขากรรไกรบนและล่างที่ดีขึ้น และ ใบหน้าของผู้ป่วยที่สวยงามเท่าเดิมหรือดีขึ้นกว่าเดิม ผู้ป่วยและแพทย์ผ่าตัด ควรทำความเข้าใจ และทำข้อตกลงในแผนการผ่าตัดอย่างรอบด้าน รวมทั้งค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นด้วย
กระบวนการเตรียมแผนการผ่าตัด แบ่งออกเป็น 2 แนวทาง โดยผู้ป่วย ควรสอบถามค่าใช้จ่ายจากอาจารย์หรือทันตแพทย์ประจำบ้าน เนื่องจากมี ค่าใช้จ่าย ที่แตกต่างกัน
แนวทางที่ 1 การเตรียมแผนการผ่าตัดโดยใช้แบบพิมพ์ขากรรไกรปูน และเครื่องจำลองการสบฟัน
- ผู้ป่วยจะได้รับการพิมพ์ขากรรไกร เพื่อหล่อแบบปูน จำนวน 2 คู่ มาใช้ทำแผนการเลื่อนขากรรไกร
- ทันตแพทย์ประจำบ้าน ร่วมกับอาจารย์ผู้รับผิดชอบผู้ป่วย จะร่วมทำการบันทึกมิติขากรรไกร ตรวจสอบ และอาจมีการวัดซ้ำได้
- มีการนัดหมายเพื่อยืนยันลักษณะของความสัมพันธ์ขากรรไกรที่ได้ทำการถอดบันทึกเข้าเครื่องมือจำลองความสัมพันธ์ของขากรรไกร
- มีการส่งทำแผ่นอครีลิก/เรซิน เพื่อถอดแบบการสบฟันเพื่อการผ่าตัด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายแยกจ่ายจากค่าผ่าตัดที่กำหนดไว้
- นัดหมายให้ผู้ป่วยมาลองแบบอะคริลิก/เรซิน ก่อนวันผ่าตัด
แนวทางที่ 2 การเตรียมแผนการผ่าตัดโดยใช้ CT SCAN ร่วมกับ โปรแกรมการวางแผนแบบดิจิตอล
- ผู้ป่วยจะได้รับการส่งถ่ายภาพ CT SCAN และ การสแกนใบหน้า เพื่อสร้างภาพจำลอง 3 มิติ เพื่อนำเข้าในโปรแกรมการวางแผนการผ่าตัดขากรรไกร ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายนอกเหนือจากค่าผ่าตัดที่กำหนดไว้
- ทันตแพทย์ประจำบ้านและอาจารย์ จะร่วมกันวางแผนการผ่าตัดขากรรไกรผ่านโปรแกรมติจิตอล ซึ่งจะได้แผนการผ่าตัดและส่งทำแผ่นอะคริลิก/เรซิน เพื่อถอดแบบการสบฟันเพื่อใช้ในการผ่าตัด ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มจากค่าผ่าตัดที่กำหนดไว้
- ผู้ป่วยจะนัดหมายเพื่อลองแบบอะครีลิก/เรซิน ก่อนวันผ่าตัด หากแนวฟันไม่ลงในแนวแบบอะคริลิก/เรซินอย่างชัดเจน ผู้ป่วยอาจต้องทำกระบวนการใหม่ทั้งหมด ซึ่ง จะงดเว้นค่าใช้จ่ายในการทำซ้ำ
- เมื่อประเมินและวางแผนการผ่าตัดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ป่วยจะได้รับการส่งตรวจร่างกาย เพื่อเตรียมตัวก่อนการดมยาสลบทั่วไปและการผ่าตัด ได้แก่
- การตรวจโลหิต และการตรวจอื่นๆที่จำเป็น ได้แก่ CBC , Blood group, Ht, Hb, Platelet, PT,PTT, Anti HIV , Anti HBS Ag, Electrolyte, Cr, BUN, ECG, Chest X-ray
- การเก็บโลหิต เป็นการเก็บโลหิตของตัวผู้ป่วยเอง ( Autologous blood donation ) เพื่อนำมาใข้ในห้องผ่าตัดขณะทำการผ่าตัด หากมีการสูญเสียโลหิตขณะทำการผ่าตัดเป็นจำนวนมาก โดยทั่วไป มักเก็บโลหิตของผู้ป่วยจำนวน 1-2 ยูนิต ( ยูนิตละ 400 cc. )ล่วงหน้าก่อนการผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยจะต้องมีน้ำหนักตัวไม่ต่ำกว่า 45 กก. หากมีน้ำหนักตัวน้อยกว่านี้ จำเป็นต้องทำการจองโลหิต หรืออาจใช้โลหิตของพี่น้อง หรือญาติ หรือ ผู้ที่ผู้ป่วยนำมาตรวจหาความเข้ากันได้ของโลหิต นำมาเก็บโลหิตแทนโลหิตของผู้ป่วยเอง ทั้งนี้ แพทย์ผู้ทำการผ่าตัด จะพิจารณาความเหมาะสมในความจำเป็นต่อการเก็บโลหิตเป็นรายๆไป
- ผู้ป่วยเพศหญิงที่จะมีประจำเดือนในวันที่จะทำการผ่าตัด สมควรที่จะปรึกษาแพทย์วิสัญญี เพื่อได้รับยาระงับการมีประจำเดือนในวันที่รับการผ่าตัด
- ผู้ป่วยที่มีประวัติแพ้ยา ต้องบันทึกเป็นข้อมูลที่สำคัญ
- ผู้ป่วยจะเข้าพักในหอผู้ป่วย ก่อนวันผ่าตัด 1 วัน เพื่อเตรียมร่างกายก่อนการผ่าตัด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การงดน้ำและอาหารก่อนการผ่าตัด ไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมง ผู้ป่วยต้องแปรงฟันให้สะอาด อาบน้ำชำระล้างร่างกายและสระผมให้สะอาด ในคืนก่อนการผ่าตัด
- วันผ่าตัด ผู้ป่วยจะเข้าห้องผ่าตัดก่อนเวลานัดหมายอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพื่อเตรียมให้สารน้ำทางหลอดเลือด และเตรียมตัวขึ้นเตียงผ่าตัด เพื่อจัดท่าและเตรียมอบอุ่นร่างกาย
- หากการผ่าตัดใช้เวลานานกว่า 3-4 ชั่วโมง ผู้ป่วยต้องรับทราบถึงความจำเป็นต่อการสอดท่อผ่านปัสสาวะ เพื่อประเมินการทำงานของระบบไหลเวียนโลหิต รวมทั้งลดการคั่งปัสสาวะที่จะเกิดความเจ็บปวดปัสสาวะภายหลังการผ่าตัด เนื่องจากผู้ป่วยจะไม่สามารถปัสสาวะเองได้ทันที หรือปัสสาวะไม่ออกเป็นระยะเวลานาน และจะถอดท่อสวนปัสสาวะออก ในวันรุ่งขึ้นที่หอพักผู้ป่วยโดยพยาบาล
- ภายหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น ผู้ป่วยจะต้องอยู่ในห้องผ่าตัดต่อ เพื่อประเมินการฟื้นสติ และการกลับมาของระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจมาอยู่ในระดับปกติ ก่อนการส่งกลับหอพักผู้ป่วย โดยปกติ ใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง
- เมื่อเสร็จสิ้นการผ่าตัด จะมีท่อระบายเลือดบริเวณขากรรไกรล่างจำนวน 2 เส้น เพื่อระบายเลือดที่คั่งค้างบริเวณที่ทำการผ่าตัด เพื่อลดความบวมแก้มของผู้ป่วยให้มากที่สุด และจะนำออกจากช่องปากเมื่อระดับเลือดในกระเปาะเก็บเลือด ไม่เพิ่มปริมาณขึ้น ประมาณ 2-3 วัน โดยการถอดท่อระบายเลือด อาจสร้างความเจ็บปวดให้แก่ผู้ป่วยบ้างและจะได้รับยาระงับปวดภายหลังการถอนท่อระบายเลือดออก
- ผู้ป่วยมักจะพักฟื้นในหอพักผู้ป่วย ประมาณ 2- 4 วัน ขึ้นกับระดับความซับซ้อนของการผ่าตัด อาการของผู้ป่วย การฟื้นตัวของผู้ป่วย อาการบวมของใบหน้า จะมีระยะของการบวมเป็น 3 ระยะ ในระยะแรก อยู่ในช่วงสัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด โดยอาการบวมจะมากที่สุดที่ระยะ 2 – 4 วัน หลังวันผ่าตัด หลังจากนั้น อาการบวมจะค่อยๆลดลง จนถึงระยะที่ 2 อาการบวมที่ลดลง จะลดลงร้อยละ 70 จนถึงสัปดาห์ที่สอง ดังนั้น หากต้องลางาน หรือ ลาพักการเรียน ระยะเวลา สองสัปดาห์ เป็นเวลาที่พอสมควรในการลา ระยะที่ 3 อาการบวมที่เหลืออยู่ร้อยละ 20 – 30 จะค่อยๆลดลง จนหมดไปในเดือนที่สองหลังการผ่าตัด และรูปร่างใบหน้าจะปรากฏผลหลังเดือนที่สองเป็นต้นไป ผู้ป่วย ไม่ควรวิตกกังวลเรื่องรูปร่างใบหน้าที่บวมกลมในช่วงแรก รอให้ผ่านเดือนที่สองไปแล้วจึงปรากฏ
- ในวันที่ผู้ป่วยจำหน่ายออกจากหอพักผู้ป่วย จะได้รับการล้างช่องปาก และถ่ายภาพรังสี เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลหลังการผ่าตัดทันที และเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงหลังการผ่าตัดตามระยะเวลาต่างๆ
- ผู้ป่วยจะได้รับการนัดหมายเพื่อตรวจแผลและล้างแผลในช่องปาก ตลอดระยะเวลา 4 สัปดาห์หลังการผ่าตัด ทุกๆสัปดาห์ รวมทั้งประเมินการสบฟัน หากมีการเปลี่ยนแปลงการสบฟันในระหว่าง 4 สัปดาห์แรกหลังการผ่าตัด จะต้องรีบทำการแก้ไขด้วยการบังคับขากรรไกรด้วยยางบังคับฟัน โดยทันตแพทย์ผ่าตัดที่ดูแลอยู่ ผู้ป่วยอาจประสบกับความลำบากในการอ้าปากในระยะแรกหลังการผ่าตัด แต่อาการนี้ จะดีขึ้น ภายหลังการบังคับขากรรไกรประสบผลสำเร็จ และสามารถปรับตัวได้ตามระยะเวลาที่ผ่านไป
- ผู้ป่วยอาจมีอาการข้างเคียง ได้แก่ อาการชาที่ริมฝีปาก อาการชาที่ผิวหนังบริเวณใบหน้า อย่างไรก็ตาม โดยส่วนใหญ่ อาการชามักจะหายเองได้ ในระยะเวลาประมาณ 1 – 6 เดือน
- ผู้ป่วยอาจมีเลือดไหลออกจมูกได้ ภายหลังการผ่าตัด 1 – 5 วัน ทั้งนี้ เป็นจากการผ่าตัดขากรรไกรบน อาการเช่นนี้ เป็นอาการปกติ และจะหยุดไหลเอง ภายหลังระยะเวลา 5 วันขึ้นไป
- ผู้ป่วยจะได้รับการห้ามใช้ฟันบดเคี้ยวอาหาร ตลอดระยะเวลา 1 – 2 เดือนภายหลังการผ่าตัด เพื่อป้องกันการเคลื่อนผิดตำแหน่งของกระดูกขากรรไกรที่ได้รับการผ่าตัด อาหารที่ผู้ป่วยควรได้รับระหว่าง 1- 2 เดือน ควรเป็นอาหารเหลว ที่มีกากป่นนิ่ม กลืนง่าย ไม่เหนียว เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ซุป น้ำผลไม้ นม น้ำแกง น้ำหวาน โดยภายหลังการรับประทานอาหาร ผู้ป่วย จะต้องทำความสะอาดฟันและช่องปากให้สะอาดด้วยการบ้วนน้ำสะอาดบ่อยๆ เท่าที่ผู้ป่วยจะทำได้
- ผู้ป่วยจะต้องมาพบแพทย์ผ่าตัดตามระยะเวลาที่กำหนด ภายหลังการผ่าตัด โดยจะนัดหมายเป็นระยะ ทุกสัปดาห์ในเดือนแรกหลังการผ่าตัด เดือนที่ 3 , 6 , 9 และ 12 หลังการผ่าตัด เพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของการสบฟันและใบหน้า รวมทั้งการถ่ายภาพและภาพรังสี เพื่อเก็บข้อมูลในการเปรียบเทียบและการวิเคราะห์ผลการรักษา
ขั้นตอนที่ 4 การจัดฟันภายหลังการผ่าตัดเพื่อปรับการสบฟันระยะสมบูรณ์
ผู้ป่วยจะส่งไปยังทันตแพทย์จัดฟัน ภายหลังการผ่าตัดประมาณ 1 เดือน หรือจนกว่าความสัมพันธ์ของขากรรไกรจะคงที่ ภายหลังการจัดฟันจนได้การสบฟันที่สมบูรณ์ จนกระทั่งผู้ป่วยได้รับการถอดเครื่องมือจัดฟันติดแน่นออกจากฟัน ผู้ป่วยจะเข้ามานัดหมายกับแพทย์ผ่าตัดอีกครั้ง เพื่อผ่าตัดกำจัดแผ่นดามกระดูกออกจากขากรรไกร ทั้งนี้ อาจทำภายใต้ยาชาเฉพาะที่ได้ หากตำแหน่งของแผ่นดามกระดูกอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดออกได้ง่าย แต่หากตำแหน่งของแผ่นดามกระดูกอยู่ในตำแหน่งที่ผ่าตัดยาก หรือต้องการผ่าตัดแก้ไขส่วนของขากรรไกรอื่นเพื่อเติม จำเป็นต้องผ่าตัดภายใต้การดมยาสลบทั่วไปอีกครั้งหนึ่ง
บทสรุป
จากรายละเอียดข้างต้นทั้งหมด เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่จะรับการรักษาผ่าตัดขากรรไกรเพื่อแก้ไขการสบฟันผิดปกติ อย่างไรก็ตาม มิได้เป็นบรรทัดฐานที่สามารถอ้างอิงในทุกกรณี ทั้งนี้ ต้องปรึกษากับทันตแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาเป็นกรณีแต่ละกรณีไป ที่สำคัญ ผู้ป่วยและแพทย์ผู้ให้การรักษา จะต้องเข้าใจในสิ่งที่ตรงกัน เพื่อป้องกันความผิดพลาดที่เกิดจากความคลาดเคลื่อนของการสื่อสารตั้งแต่เริ่มต้นการรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยทุกคน ได้รับผลการรักษาตามที่ประสงค์ไว้ทุกประการ