Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors

โรคมือ-เท้า-ปาก

ทันตกรรมเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

โรคมือ-เท้า-ปาก

ศ.ดร.ทพญ.วรานันท์ บัวจีบ

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นอย่างไร ?
โรคมือ- เท้า-ปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม enterovirus ซึ่งมักเป็น coxsackievirus A16 และยังอาจเกิดจากเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ ในกลุ่มนี้ได้ เช่น enterovirus 71 โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัส ทำให้เป็นไข้และมีตุ่มพองเกิดขึ้นที่ มือ เท้า และในปาก

 

ใครมีโอกาสเป็น โรคมือ-เท้า-ปาก ได้บ้าง ?
เด็กเล็กๆ จนถึงอายุ 10 ปี พบว่ามีโอกาสเกิดโรคสูงสุด พบได้จนถึงวัยหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ก็ติดเชื้อได้เช่นกันแม้ว่าพบน้อย หลังจากติดเชื้อแล้วจะเกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์นั้น แต่ยังมีโอกาสเป็น โรคมือ-เท้า-ปาก ได้อีก จากเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นในกลุ่มเดียวกัน

 

เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิด โรคมือ-เท้า-ปาก แพร่กระจายทางใด ?
เชื้อไวรัสพบในอุจจาระ สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย รวมทั้งในตุ่มพองของผู้ป่วย เชื้อจึงแพร่กระจายได้จากการสัมผัสกับอุจจาระ น้ำมูก น้ำลายและน้ำในตุ่มพองของผู้ที่เป็นโรค

 

อาการของ โรคมือ-เท้า-ปาก มีอะไรบ้าง ?
หลังจากสัมผัสเชื้อ 3 – 6 วัน เด็กจะมีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ หลังจากนั้น 1 – 2 วัน เด็กมักจะมีอาการเจ็บในปาก ทำให้ไม่ยอมรับประทานอาหารตามปกติ ทั้งนี้เนื่องจากมีตุ่มพองและแผลเกิดขึ้นในปาก นอกจากนี้ยังพบตุ่มพองที่มือและเท้าด้วย

ลักษณะที่สังเกตพบในปากเป็นอย่างไร ?
ส่วนใหญ่เด็กจะมีอาการเจ็บในปาก ทำให้ไม่รับประทานอาหารตามปกติ ในปากจะเริ่มจากมีจุดแดงแล้วเป็นตุ่มพอง มักพบที่เพดานแข็ง ลิ้น กระพุ้งแก้ม ตุ่มพองนี้มักจะแตกออกหลังจากเกิดขึ้นไม่นาน ทำให้พบลักษณะเป็นแผลตื้นๆ รูปร่างกลมขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 – 2 มิลลิเมตร ขอบแผลแดง พื้นแผลมีสีออกเหลือง แผลเล็กๆ หลายแผลอาจรวมกันเป็นแผลใหญ่ก็ได้

 

ลักษณะที่พบบริเวณมือและเท้าเป็นอย่างไร ?
ผื่นที่ผิวหนังอาจเกิดต่อเนื่อง 1 – 2 วัน เริ่มจากจุดเรียบหรือนูนแดง แล้วกลายเป็นตุ่มพองและแตกออกเป็นแผล พบได้ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รวมทั้งด้านข้างของนิ้วมือและนิ้วเท้า

 

วินิจฉัยโรคด้วยวิธีใด ?
การวินิจฉัยมักอาศัยประวัติและการตรวจร่างกาย ในกรณีที่จำเป็นอาจตรวจหาเชื้อไวรัส (coxsakievirus หรือ enterovirus ชนิดอื่นๆ) เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัย แต่ค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน

 

มีวิธีดูแลรักษาอย่างไร ?
ควรไปพบแพทย์ทันทีที่สงสัยว่าเป็นโรค เนื่องจากแม้ปกติ โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่ไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 7 – 10 วัน ในปัจจุบันมีรายงานถึงการระบาดของโรคและมีภาวะแทรกซ้อน ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

ป้องกันโรคได้อย่างไร ?
เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิด โรคมือ-เท้า-ปาก พบได้ในอุจจาระ น้ำมูก น้ำลายและน้ำในตุ่มพอง เชื้อติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงและจากการสัมผัสทางอ้อม เช่น ใช้ของร่วมกับผู้ป่วย ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ การรักษาสุขอนามัย โดยการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอโดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังจากเข้าห้องน้ำ หลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก ก่อนเตรียมอาหาร รวมทั้งหลังจากสัมผัสน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย

เมื่อใดและนานเท่าใดที่ผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อได้ ?
ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เมื่อเริ่มเป็นโรค จนถึงเมื่อตุ่มพองที่ผิวหนังหายไป เชื้อไวรัสถูกปลดปล่อยออกมาทางอุจจาระนานหลายสัปดาห์

 

มีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ ?
ปกติ โรคมือ-เท้า-ปาก จะไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่เชื้อไวรัสบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดบวม เป็นต้น

 

ป้องกันการกระจายของโรคอย่างไร ?
ควรแยกเด็กที่ป่วย นอกจากนี้ผู้ที่สัมผัสกับน้ำมูก น้ำลายและอุจจาระของผู้ป่วยต้องล้างมือให้สะอาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

 

สรุป
โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะแรกจากลักษณะอาการของผู้ป่วย โดยเฉพาะในรายที่มีตุ่มพองและแผลในปากร่วมกับตุ่มพองที่มือและเท้า ควรพบแพทย์/ทันตแพทย์เพื่อการดูแลรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

การเตรียมลูกไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก

การเตรียมลูกไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก

เด็กส่วนใหญ่เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรก มักจะมีความกลัวและวิตกกังวลในการรักษา คุณพ่อคุณแม่สามารถเตรียมตัวลูกเพื่อไปพบทันตแพทย์ได้หลายวิธี ได้แก่

 

1. เล่านิทานเกี่ยวกับการทำฟันและดูวิดีโอเกี่ยวกับการทำฟัน คุณพ่อคุณแม่อาจเล่านิทานที่เกี่ยวข้องกับการทำฟันของเด็ก เช่น นิทานเรื่องลูกหมูมาทำฟัน เพื่อเสริมความเข้าใจบทบาทของทันตแพทย์ หรือ ดูวิดีโอให้ความรู้ว่าในวันแรกทันตแพทย์จะทำอะไร ซึ่งมักเป็นงานง่ายๆ เช่น การตรวจฟัน ทำให้เด็กมีความคุ้นเคยกับการทำฟัน

 

2. เล่นบทบาทสมมติ เตรียมตัวก่อนเจอสถานการณ์จริง คุณพ่อคุณแม่เล่นเป็นทันตแพทย์ ให้ลูกเล่นเป็นคนไข้ หรือกลับบทบาทกัน ซักซ้อมก่อนว่ามีขั้นตอนอะไรบ้างในการมาตรวจฟันครั้งแรก เล่าสถานการณ์ที่ลูกจะต้องเจอ พอมาพบทันตแพทย์จริงลูกจะเข้าใจว่ากำลังทำอะไรและเขาควรทำตัวอย่างไร จะช่วยลดความกลัวได้

 

3. ให้ดูตัวอย่างที่ดี พาลูกไปพบทันตแพทย์พร้อมกับคุณพ่อคุณแม่ หรือพี่ที่เคยทำฟันแล้วร่วมมือดี ให้ลูกดูตัวอย่างว่าทำฟันอย่างไร โดยวันที่เลือกไปดูนั้น ควรเป็นการรักษาที่ง่ายๆ เช่น ตรวจฟัน เพื่อให้เกิดการเลียนแบบตัวอย่างที่ดี

 

4. บอกความจริง อย่าโกหกลูก อย่าโกหกหลอกลวงลูก ให้พูดตามความจริง อย่าหลอกว่าจะพาไปที่อื่น แต่จริงๆ พามาทำฟันจะทำให้ลูกต่อต้านมากขึ้น

 

5. สร้างทัศนคติที่ดีต่อการไปพบทันตแพทย์ ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟันตั้งแต่ยังไม่มีฟันผุ หรืออาการเจ็บปวด ย่อมได้รับความร่วมมือและความทรงจำที่ดีกว่า เพราะการไปตรวจฟันเป็นประจำ ลูกจะมีฟันที่ต้องอุดน้อยกว่า หากลูกมาพบทันตแพทย์ครั้งแรกตอนที่ปวดฟันมา หรือมีฟันผุมากๆ การรักษาจะยุ่งยากซับซ้อน และใช้เวลาการรักษานาน จะทำให้เด็กมีความทรงจำที่ไม่ดีต่อการทำฟันและฝังใจได้ ต่อไปเด็กก็จะไม่ให้ความร่วมมือในการทำฟัน

 

6. อย่าขู่ลูกจนกลัวการมาพบทันตแพทย์ หลีกเลี่ยงการใช้คำที่น่ากลัว (เช่น ฉีดยา ถอนฟัน เจ็บ) หรือใช้ทันตแพทย์มาขู่ลูก ให้ใช้คำอื่นแทน แต่ทำให้ทันตแพทย์เป็นเหมือนฮีโร่ที่จะมาช่วยให้ฟันของลูกดี ไม่ใช่ให้ทันตแพทย์เป็นผู้ร้ายที่จะมาทำให้ลูกเจ็บ อาจตั้งบทบาทของทันตแพทย์เป็นเพื่อนที่จะมาคอยแนะนำให้ลูกแปรงฟัน หรือเป็นคุณครูที่จะมาสอนให้ลูกแปรงฟันให้เก่ง

 

7. ให้ลูกคุ้นเคยกับการแปรงฟัน การแปรงฟันให้ลูกทุกวัน จะสร้างความคุ้นเคยกับการตรวจในช่องปาก โดยอาจให้ซ้อมอ้าปากกว้างค้างไว้ให้คุณพ่อคุณแม่ดูฟัน พอลูกมาทำฟันจริงก็จะยอมอ้าปากให้ตรวจฟันได้ง่าย

ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
Facebook page : มหิดลรักฟันน้ำนม

อ.ทพญ.อภิชญา มโนเพ็ชรเกษม

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

ความผิดปกติของการสบฟันในผู้ป่วยวัยเด็ก

ความผิดปกติของการสบฟันในผู้ป่วยวัยเด็ก

การสบฟันลึก หมายถึง ระยะเหลื่อมแนวดิ่งที่ฟันหน้ามากกว่า 1/3 ของความสูงของฟันหน้าล่าง สามารถรักษาได้ตั้งแต่ระยะฟันน้ำนมและระยะฟันชุดผสม (ช่วงที่ฟันแท้ยังขึ้นไม่ครบและยังมีฟันน้ำนมเหลืออยู่) ในการรักษาจะอาศัยการแก้ไขด้วยเครื่องมือทันตกรรมจัดฟันชนิดถอดได้ หรือเครื่องมือฟังก์ชันนอล เพื่อกระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรล่าง

การสบฟันเปิด ที่พบได้บ่อย มักพบที่ฟันหน้าบนล่างไม่สบกัน โดยส่วนใหญ่เกิดจากการดูดนิ้ว การกลืนที่ผิดปกติ โดยในการรักษาควรให้ฝึกวางตำแหน่งลิ้นให้กลืนอย่างถูกต้อง ร่วมกับการใช้เครื่องมือจัดฟันชนิดถอดได้ โดยอาจเป็นเครื่องที่ช่วยในการขยายขากรรไกร หรือเป็นเครื่องมือจัดฟันชนิดติดแน่น

ฟันสบคร่อม หมายถึง ลักษณะที่ฟันล่างสบคร่อมฟันบน (โดยปกติฟันบนจะสบคร่อมฟันล่าง) พบได้ทั้งในฟันหน้าและฟันหลัง ฟันสบคร่อมควรได้รับการแก้ไขโดยเร็ว ด้วยการใส่เครื่องมือถอดได้ที่ติดสปริงหรือสกรูและเพลทเพื่อยกฟันหลัง และสามารถดันฟันที่สบคร่อมออกมา หรืออาจใช้ร่วมกับเครื่องมือจัดฟันแบบติดแน่นก็ได้

ฟันซ้อนเก มักพบในระยะฟันชุดผสม ฟันแท้ที่ขึ้นมาทดแทนจะมีขนาดใหญ่กว่าฟันน้ำนมที่หลุดออกไป ฟันจึงขึ้นมาเบียดซ้อนกัน หรือเกิดจากการสูญเสียฟันน้ำนมบางซี่ไปก่อนกำหนด ทำให้ฟันข้างเคียงเคลื่อนที่เข้ามาแทน การรักษาขึ้นอยู่กับการตรวจวินิจฉัยโดยทันตแพทย์ว่าควรทำเลยหรือรอจนฟันแท้ขึ้นจบครบได้

คราวนี้ทุกคนก็พอจะทราบแล้วว่าลักษณะการสบฟันที่ผิดปกติในวัยเด็กเป็นอย่างไร สาเหตุหลักๆ มักมีด้วยกัน 3 ประการ

1. จากการมีลักษณะนิสัยการดูดนิ้ว, การกลืนที่ผิดปกติ ซึ่งเรื่องนี้คุณแม่คุณพ่อก็ต้องดูกันตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ กันเลย
2. การดูแลฟันน้ำนมไม่ถูกต้อง ทำไมต้องดูแลฟันน้ำนมให้ดี เพราะฟันน้ำนมนอกจากจะมีไว้บดเคี้ยวตามธรรมชาต ช่วยในการออกเสียงแล้วยังเป็นผู้ดูแลช่องว่างเตรียมไว้ให้ฟันแท้ที่จะขึ้นมาทดแทนด้วย ถ้าเสียฟันน้ำนมไปก่อนเวลาอันควรช่องว่างสำหรับฟันแท้จะมีไม่พอ เกิดปัญหาฟันซ้อนเกตามมาได้
3. สาเหตุจากกรรมพันธุ์ ไม่เพียงแต่มีผลเฉพาะกับฟัน เช่น ลักษณะรูปร่างของฟัน ขนาดฟัน จำนวนฟัน เท่านั้น ยังส่งผลต่อลักษณะของโครงหน้าอีกด้วย เช่น หน้ากลม หน้ารูปไข่ หน้าเหลี่ยม คางสั้น คางยื่น เป็นต้น ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการตรวจประเมิน วินิจฉัย และให้การรักษาที่เหมาะสมจากทันตแพทย์เฉพาะทางสาขา ทันตกรรมจัดฟัน

อ.ทพ.พงศธร พู่ทองคำ

ภาควิชาทันตกรรมจัดฟัน

ฟัน(น้ำนม) ผุ

ฟัน(น้ำนม) ผุ

ปัญหาฟันน้ำนมผุเกิดจากอะไร ?

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฟันน้ำนมผุ มาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว การปล่อยให้เด็กนอนหลับคาขวดนม ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในนม สามารถเข้าไปทำลายเคลือบฟันของเด็กได้ เพราะคราบจุลินทรีย์จะย่อยน้ำตาลในนมที่ค้างอยู่บนผิวฟัน ทำให้เกิดการสะสมของกรด ละลายผิวฟันเป็นรู นอกจากเรื่องขวดนมแล้ว ปัญหาฟันน้ำนมผุ ยังอาจเกิดได้จากโครงสร้างของฟันเด็กที่ไม่สมบูรณ์ อาจเป็นเพราะคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย แม่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กยุคนี้ฟันผุง่ายก็คือ การรับประทานขนมตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันนั่นเอง  อีกทั้งผู้ปกครองหลายคนมักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการรับประทานขนมและการแปรงฟันของลูกมากนัก และลูกก็ยังไม่สามารถทำความสะอาดฟันอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ฟันผุได้ง่ายนั่นเอง

 

ฟันน้ำนมผุได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?

ปัญหาฟันน้ำนมผุหรือฟันผุในวัยเด็ก สามารถเกิดได้ตั้งแต่เด็กมีฟันขึ้นในช่องปาก ซึ่งก็คืออายุประมาณ 6 เดือน  เนื่องจากชั้นเคลือบฟันน้ำนมหนาประมาณครึ่งหนึ่งของฟันแท้เท่านั้น ทำให้ฟันน้ำนมผุได้ง่ายกว่ามาก และยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบน้อยกว่าอีก โดยฟันน้ำนมซี่หน้าบนจะผุได้ง่ายกว่าฟันหน้าล่าง รวมทั้งอีกจุดที่ผุง่ายก็คือ ฟันกรามด้านบดเคี้ยว เพราะเป็นซี่ใน ขนมหวานมักติดค้างอยู่ในร่องฟัน จึงทำความสะอาดได้ยากนั่นเอง

รู้จัก 3 ระยะ ของโรคฟันผุ

  1. ฟันผุในระยะแรก จะพบลักษณะรอยโรคขุ่นขาวบริเวณเคลือบฟันหรือหลุมร่องฟัน ซึ่งจะยังไม่แสดงอาการ
  2. ฟันผุที่ชั้นเคลือบฟันและเนื้อฟัน จะมีการแตกหักของเนื้อฟันจนเกิดรอยผุเป็นรูบนตัวฟัน เด็กจะเริ่มมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน เวลาเศษอาหารติด
  3. ฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน จะมีอาการปวดฟัน ประสาทฟันอักเสบร่วมกับการอักเสบของเหงือกและอวัยวะรอบๆ ฟัน

การรักษาฟันน้ำนมผุ

หากลูกมีฟันผุระยะแรกเริ่ม คุณหมอจะให้คำแนะนำในการรับประทานอาหารและการทำความสะอาดหรือเคลือบหลุมร่องฟัน คุณหมอจะทำการอุดฟันหรือครอบฟันในฟันที่ผุถึงชั้นเนื้อฟัน แต่หากฟันผุทะลุเข้าไปถึงโพรงประสาทฟัน คุณหมอจะต้องรักษาด้วยการรักษารากฟัน หรือถอนฟันแทน แต่สำหรับกรณีที่ฟันผุยังไม่ได้ทำลายรากฟัน และกระดูกเบ้าฟันไปมาก คุณหมอจะแนะนำให้เก็บรักษาฟันน้ำนมไว้ใช้งาน รอจนฟันแท้จะขึ้นมาแทนที่ การอุดฟันที่ผุลึกมาก การถอนฟัน หรือการรักษารากฟัน คุณหมอจะใช้ยาชา เพื่อไม่ให้เด็กๆ รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

 

วิธีป้องกันไม่ให้ฟันน้ำนมผุ

– ฝึกให้เด็กทารกเข้านอนโดยไม่มีนิสัยติดขวดนม
– สอนให้เด็กใช้แก้วน้ำแทนขวดนมและฝึกดูดจากหลอด ตั้งแต่อายุ 6 – 12 เดือน และควรเลิกใช้ขวดนม เมื่ออายุ 1 ปี ไปแล้ว
– ฝึกนิสัยไม่ให้ลูกทานขนมจุบจิบ อาหารรสหวาน เพราะเป็นสาเหตุของฟันผุ หากลูกอยากรับประทานให้รับประทานในมื้ออาหาร
– เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ไม่เติมน้ำตาลและไม่ทำให้ฟันผุ เช่น นมจืด ผลไม้ แซนวิสทูน่า ปลาเส้น เป็นต้น
– ให้ลูกบ้วนปากหลังดื่มนม รับประทานขนม หรือหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง
– แปรงฟันให้ลูกด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง เวลาเช้า – ก่อนนอน
– เมื่อลูกอายุ 4 ขวบ ฝึกให้ลูกแปรงฟันอย่างถูกวิธี และช่วยแปรงซ้ำเป็นประจำ
– พาลูกไปพบทันตแพทย์ ตรวจฟันเป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อจะได้รับความรู้และแนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพในช่องปากอย่างถูกต้อง

อ.ทพญ. วรณัน ประพันธ์ศิลป์

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

ระเบียบการคลินิกทันตกรรมเด็ก

ทันตกรรมเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

ระเบียบการคลินิกทันตกรรมเด็ก

พฤติกรรมไม่พึงประสงค์สุขภาพช่องปากในวัยเด็ก

ทันตกรรมเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

พฤติกรรมไม่พึงประสงค์สุขภาพช่องปากในวัยเด็ก

ฟันน้ำนมผุ

ทันตกรรมเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

ฟันน้ำนมผุ

ผศ. ทพญ.วรณัน ประพันธ์ศิลป์

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

ฟันน้ำนมผุเกิดจากอะไร ?
หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ฟันน้ำนมผุ มาจากการเลี้ยงดูของครอบครัว การปล่อยให้เด็กนอนหลับคาขวดนม ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในนม สามารถเข้าไปทำลายเคลือบฟันของเด็กได้ เพราะคราบจุลินทรีย์จะย่อยน้ำตาลในนมที่ค้างอยู่บนผิวฟัน ทำให้เกิดการสะสมของกรด ละลายผิวฟันเป็นรู นอกจากเรื่องขวดนมแล้ว ปัญหาฟันน้ำนมผุ ยังอาจเกิดได้จากโครงสร้างของฟันเด็กที่ไม่สมบูรณ์ อาจเป็นเพราะคลอดก่อนกำหนด มีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย แม่ติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ รวมทั้งสาเหตุสำคัญที่ทำให้เด็กยุคนี้ฟันผุง่ายก็คือ การรับประทานขนมตามใจชอบ แล้วไม่ยอมแปรงฟันนั่นเอง อีกทั้งผู้ปกครองหลายคนมักมีความเชื่อผิดๆ ว่า เดี๋ยวฟันน้ำนมก็ต้องหลุดไป มีฟันแท้มาแทนที่ จึงไม่ได้ใส่ใจการรับประทานขนมและการแปรงฟันของลูกมากนัก และลูกก็ยังไม่สามารถทำความสะอาดฟันอย่างมีประสิทธิภาพได้ด้วยตัวเอง จึงทำให้ฟันผุได้ง่ายนั่นเอง

 

รู้จัก 3 ระยะ ของโรคฟันผุ
1. ฟันผุในระยะแรก จะพบลักษณะรอยโรคขุ่นขาวบริเวณเคลือบฟันหรือหลุมร่องฟัน ซึ่งจะยังไม่แสดงอาการ

 

2. ฟันผุที่ชั้นเคลือบฟันและเนื้อฟัน จะมีการแตกหักของเนื้อฟันจนเกิดรอยผุเป็นรูบนตัวฟัน เด็กจะเริ่มมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน เวลาเศษอาหารติด

 

3. ฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน จะมีอาการปวดฟัน ประสาทฟันอักเสบร่วมกับการอักเสบของเหงือกและอวัยวะรอบๆ ฟัน

 

ฟันน้ำนมผุได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ ?
ปัญหาฟันน้ำนมผุหรือฟันผุในวัยเด็ก สามารถเกิดได้ตั้งแต่เด็กมีฟันขึ้นในช่องปาก ซึ่งก็คืออายุประมาณ 6 เดือน เนื่องจากชั้นเคลือบฟันน้ำนมหนาประมาณครึ่งหนึ่งของฟันแท้เท่านั้น ทำให้ฟันน้ำนมผุได้ง่ายกว่ามาก และยังมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นองค์ประกอบน้อยกว่าอีก โดยฟันน้ำนมซี่หน้าบนจะผุได้ง่ายกว่าฟันหน้าล่าง รวมทั้งอีกจุดที่ผุง่ายก็คือ ฟันกรามด้านบดเคี้ยว เพราะเป็นซี่ใน ขนมหวานมักติดค้างอยู่ในร่องฟัน จึงทำความสะอาดได้ยากนั่นเอง

 

การรักษาฟันน้ำนมผุ
หากลูกมีฟันผุระยะแรกเริ่ม คุณหมอจะให้คำแนะนำในการรับประทานอาหารและการทำความสะอาดหรือเคลือบหลุมร่องฟัน คุณหมอจะทำการอุดฟันหรือครอบฟันในฟันที่ผุถึงชั้นเนื้อฟัน แต่หากฟันผุทะลุเข้าไปถึงโพรงประสาทฟัน คุณหมอจะต้องรักษาด้วยการรักษารากฟัน หรือถอนฟันแทน แต่สำหรับกรณีที่ฟันผุยังไม่ได้ทำลายรากฟันและกระดูกเบ้าฟันไปมาก คุณหมอจะแนะนำให้เก็บรักษาฟันน้ำนมไว้ใช้งาน รอจนฟันแท้จะขึ้นมาแทนที่ การอุดฟันที่ผุลึกมาก การถอนฟัน หรือการรักษารากฟัน คุณหมอจะใช้ยาชา เพื่อไม่ให้เด็กๆ รู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

 

วิธีป้องกันไม่ให้ฟันน้ำนมผุ
– ฝึกให้เด็กทารกเข้านอนโดยไม่มีนิสัยติดขวดนม
– สอนให้เด็กใช้แก้วน้ำแทนขวดนมและฝึกดูดจากหลอด ตั้งแต่อายุ 6 – 12 เดือน และควรเลิกใช้ขวดนม เมื่ออายุ 1 ปี ไปแล้ว
– ฝึกนิสัยไม่ให้ลูกทานขนมจุบจิบ อาหารรสหวาน เพราะเป็นสาเหตุของฟันผุ หากลูกอยากรับประทานให้รับประทานในมื้ออาหาร
– เลือกอาหารว่างที่มีประโยชน์ไม่เติมน้ำตาลและไม่ทำให้ฟันผุ เช่น นมจืด ผลไม้ แซนวิสทูน่า ปลาเส้น เป็นต้น
– ให้ลูกบ้วนปากหลังดื่มนม รับประทานขนม หรือหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง
– แปรงฟันให้ลูกด้วยยาสีฟันที่ผสมฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง เวลาเช้า – ก่อนนอน
– เมื่อลูกอายุ 4 ขวบ ฝึกให้ลูกแปรงฟันอย่างถูกวิธี และช่วยแปรงซ้ำเป็นประจำ
– พาลูกไปพบทันตแพทย์ เมื่ออายุ 1 ปี และตรวจฟันเป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อจะได้รับความรู้และแนวทางปฏิบัติในการดูแลสุขภาพในช่องปากอย่างถูกต้อง

ลูกรักกลัวหมอฟัน

ทันตกรรมเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

ลูกรักกลัวหมอฟัน

อ.ทพญ.ชุติมา อมรพิพิธกุล

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

ลูกรักกลัวหมอ จะทําอย่างไรดี

ความกลัวเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัยโดยเฉพาะในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นกลัวความเจ็บปวด กลัวคนแปลกหน้า ความกลัวกับสถานการณ์ ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยประสบมาก่อน เป็นต้น

ซึ่งสาเหตุของความกลัวนั้นบางครั้งยากที่จะอธิบาย แต่ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เด็กเกิดความกลัวต่อหมอฟันหรือการรักษาทางทันตกรรมได้ เช่น ประสบการณ์การพบแพทย์ในอดีต โดยเฉพาะเด็กที่เจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อยๆ ก็อาจจะกลัวคนที่ใส่ชุดฟอร์มสีขาว หรือการที่เด็กได้ฟังคําบอกเล่าเรื่องประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อการรักษาทางทันตกรรม ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อน ญาติพี่น้อง และสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่อาจคาดไม่ถึงก็คือความกลัวต่อการรักษาทางทันตกรรมของตัวคุณพ่อ คุณแม่เอง ซึ่งลูกอาจจะรับรู้ได้จากพฤติกรรมบางอย่าง หรือจากสีหน้าที่มีความกังวลที่พ่อแม่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น

 

ก่อนจะพาลูกมาทําฟัน พ่อแม่มีวิธีเตรียมตัวลูก ของตนเองอย่างไรบ้าง

การเตรียมตัวเด็กที่ดีนั้นมีผลอย่างมากต่อพฤติกรรมของเด็กและความสําเร็จในการรักษาทางทันตกรรม จากที่ กล่าวข้างต้นเกี่ยวกับปัจจัยต่างๆ ที่อาจส่งผลให้เด็กเกิดความกลัวต่อการทําฟัน ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่จึงควรหลีกเลี่ยงคําพูดที่น่ากลัวหรือแสดงความกังวลต่อการทําฟันให้ลูกเห็น ไม่ควรใช่หมอฟันหรือการทําฟันเป็นเครื่องมือในการขู่ลูก เช่น “ถ้าไม่ยอมแปรงฟันนะ จะจับไปให้หมอถอนฟันเลย” ซึ่งจะยิ่งทําให้ลูกฝั่งใจและกลัวหมอฟันมากขึ้น ทั้งนี้คุณพ่อคุณแม่อาจช่วยส่งเสริมทัศนคติในทางบวกต่อการทําฟันให้แก่ลูก เช่น “คุณหมอจะช่วยให้หนูมีฟันสวยและแข็งแรง” นอกจากนี้เมื่อพบว่าลูกมีฟันผุก็ควรพาลูกมาทําฟันตั้งแต่ตอนที่ยังไม่มีอาการปวด หากรอให้มีอาการปวดก่อนเด็กจะยิ่งมีความกังวลในการทําฟันมากขึ้น

 

เมื่อมาหาหมอฟันแล้ว หากลูกกลัวหมอฟัน ไม่ให้ความร่วมมือ ผู้ปกครองและทันตแพทย์ ควรทําอย่างไร

เด็กแต่ละคนที่มีความกลัวก็จะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างกันออกไป เด็กที่มีความกลัวและไม่ให้ความร่วมมือ จําเป็นอย่างยิ่งที่ทันตแพทย์จะต้องวิเคราะห์หาสาเหตุของความกลัวของเด็ก เพื่อใช่เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาเลือกใช้วิธีการจัดการพฤติกรรม

      
 
 

ซึ่งคุณพ่อคุณแม้จะมีส่วนช่วยเป็นอย่างมากในการให้ข้อมูลเบื้องต้นเหล่านี้ หลังจากนี้ก็จะเป็นหน่าที่ของ ทันตแพทย์ที่จะเลือกใช้วิธีปรับพฤติกรรมต่างๆ เพื่อให้เด็กให้ลดความกลัว ความกังวล และยอมให้ความร่วมมือในการทําฟัน โดยวิธีที่ใช้มากที่สุดก็คือ การปรับพฤติกรรมโดยวิธีทางจิตวิทยาไม่ว่าจะเป็นการพูดคุย ปลอบโยน ชมเชย ส่งเสริมให้กําลังใจ การเบี่ยงเบน ความสนใจ หรือการแยกผู้ปกครอง ทั้งนี้ขึ้นอยู่อายุของเด็ก ระดับของความร่วมมือ และปริมาณงานหรือ ความเร่งด่วนของการรักษาด้วย เช่น ในเด็กเล็กตํ่ากว่า ๓ ขวบ ที่ยังพูดคุยสื่อสารกันไม่เข้าใจ หรือเด็กที่ไม่ให้ ความร่วมมืออย่างมาก ทันตแพทย์ก็อาจจะจําเป็นต้องขออนุญาตใช้ผ้าห่อตัวเด็ก (Papoose board) ช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของเด็กเพื่อให้สามารถให่การรักษาได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจจะนําเสนอทางเลือกการรักษาทางทันตกรรมภายใต้การทานยาให้สงบหรือการดมสลบให้แก่ผู้ปกครองเป็นผู้ตัดสินใจ

 

ตามปกติแล้วผู้ปกครองควรเข้าไปกับลูกขณะทําการรักษาทางทันตกรรมหรือไม่

ในปัจจุบันทันตแพทย์มักจะให้อิสระแก่ผู้ปกครองว่าจะอยู่กับลูกในห้องทําฟันหรือไม่ ซึ่งสิ่งที่ผู้ปกครองควรปฏิบัติเมื่ออยู่ในห้องทําฟันกับลูกก็คือการอยู่เป็นเพื่อนและให้กําลังใจแบบเงียบๆ ไม่แสดงสีหน้าหวาดกลัวขณะที่หมอฟัน กําลังใหัการรักษา หรือพูดแทรกระหว่างที่หมอฟันกําลังพูดคุยกับเด็ก เนื่องจากจะทําให้เด็กสับสนว่าจะฟังใครดี ในขณะเดียวกันก็พร้อมที่จะออกจากห้องทําฟันเมื่อคุณหมอรัองขอ ซึ่งการแยกผูัปกครอง (Parental absence) เป็นวิธีการจัดการ พฤติกรรมทางจิตวิทยาวิธีหนึ่ง ที่ทันตแพทย์จะใช้กับเด็กที่ร้องไห้โวยวาย ไม่ให้ความร่วมมือ และมีอายุมากกว่า ๓ ขวบ เนื่องจากเป็นวัยที่สามารถสื่อสารพูดคุยกันได้เข้าใจแล้ว โดยจะต่อรองกับเด็กว่า “เมื่อหนูหยุดร้องไห้โวยวาย คุณหมอจะให้คุณแม่กลับเข้ามา” ซึ่งวิธีการนี้ เป็นวิธีการจัดการพฤติกรรมวิธีหนึ่งที่ได้ผลดีเลยทีเดียว

สิ่งที่ดีที่สุดที่จะทําให้ลูกน้อยไม่กลัวหมอฟันก็คือการดูแลสุขภาพช่องปากของลูกให้ดี ไม่ให้มีฟันผุ โดยควรพาลูกมาพบหมอฟันตั้งแต่ฟันซี่แรกขึ้นหรือภายในขวบปีแรก และตรวจฟันอย่างสมํ่าเสมอทุกๆ ๖ เดือน เมื่อลูกไม่มีฟันผุ เวลาทําฟันก็ไม่เจ็บ เมื่อไม่เจ็บก็มักจะไม่กลัวหมอฟัน แต่เมื่อลูกมีฟันผุแล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ควรเข้มแข็งที่จะพาลูกมารับการรักษาตามนัดอย่างสมํ่าเสมอ ถึงแม้ว่าลูกจะร้องไห้ตั้งแต่อยู่ที่บ้านเมื่อรู้ว่าจะพามาทําฟันก็ตาม เพื่อให้ลูกของคุณมีสุขภาพช่องปากที่ดี ซึ่งเมื่อมีสุขภาพช่องปากที่ดีแล้วก็จะช่วยส่งเสริมให้เด็กมีพัฒนาการในด้านอื่นๆ ที่ดีตามไปด้วย

เครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟัน

ทันตกรรมเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

เครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟัน

รศ.ทพญ.ประภาศรี ริรัตนพงษ์

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

คืออะไร ?

ทำหน้าที่ : รักษาระยะห่างระหว่างฟันเอาไว้ไม่ให้ลดลงหรือหายไปเพื่อให้ฟันแท้ในตำแหน่งนั้นสามารถขึ้นได้ โดยมีทั้งที่ทำจากโลหะและอะคริลิก

 

ใส่เมื่อไหร่ ?

เมื่อมีการสูญเสียฟันน้ำนมก่อนวัยอันควร โดยทันตแพทย์จะพิจารณาให้ใส่เครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟัน

 

ถ้าไม่ใส่ ?

– ฟันล้มเอียงมาทางช่องว่างนั้น ทำให้ฟันแท้ขึ้นผิดตำแหน่ง
– ฟันซ้อนเกทำให้สูญเสียความสวยงาม
– มีนิสัยที่ผิดปกติ เช่น เอาลิ้นมาดุนช่องว่างที่เกิดขึ้น
– กระดูกเบ้าฟันหนาตัว มีผลให้ฟันแท้ที่อยู่ข้างใต้ขึ้นช้ากว่าปกติ

 

ชนิดของเครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟัน

สำหรับเด็กมี 2 ประเภท
1. แบบถอดได้ เครื่องมือคงสภาพชนิดที่ผู้ป่วยสามารถใส่และถอดมาทำความสะอาดได้เอง
2. แบบติดแน่น เครื่องมือคงสภาพชนิดติดแน่น ผู้ป่วยไม่สามารถถอดเครื่องมือออกเองได้

 

มีประโยชน์อย่างไร ?

รักษาช่องว่าง ช่วยให้ฟันแท้ขึ้นได้และอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ป้องกันปัญหาฟันเกหรือฟันขึ้นผิดที่ได้

 

ใส่แล้วเจ็บไหม ?

ไม่เจ็บ แต่อาจจะรำคาญได้ในช่วงแรก ซึ่งเด็กมักปรับตัวได้เร็ว

 

ข้อปฏิบัติเมื่อใส่เครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟัน

– กรณีที่ใช้แบบติดแน่น ควรหลีกเลี่ยงหมากฝรั่งหรือลูกอม ซึ่งอาจทำให้เครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟันหลวมหรือ ติดเข้ากับเครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟันได้
– ไม่ควรกดหรือดันเครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟันด้วยลิ้นหรือนิ้วมือ เพราะอาจทำให้เครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟันหลวมหรือคดงอได้
– กรณีใช้แบบถอดได้ควรล้างทำความสะอาดเครื่องมือกันช่องว่างระหว่างฟันอย่างสม่ำเสมอ
– ควรปฏิบัติตามวิธีการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันตามที่ทันตแพทย์แนะนำ

 

** ควรพาเด็กมาพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเป็นประจำทุก 6 เดือน

มาเคลือบหลุมร่องฟันกันเถอะ

ทันตกรรมเด็ก

MU DENT faculty of dentistry

มาเคลือบหลุมร่องฟันกันเถอะ

อ.ทพญ.วีริษฏา ยิ้มเจริญ

ภาควิชาทันตกรรมเด็ก

“เคลือบหลุมร่องฟัน” คืออะไร

การเคลือบหลุมร่องฟัน คือ การใช้วัสดุเคลือบร่องฟันที่เป็นสารสีใสหรือสีขาวทึบคล้ายสีฟัน เคลือบผนึกลงบนฟันเพื่อปิดบริเวณหลุมและร่องฟันทีลึก ช่วยให้ทำความสะอาดได้ทั่วถึง ป้องกันฟันผุ การเคลือบหลุมร่องฟันนั้นทำได้ง่ายมากและใช้เวลาเพียง 1-2 นาที เท่านั้นต่อฟัน 1 ซี่

ขั้นตอนการ “เคลือบหลุมร่องฟัน”

 

ใครควร “เคลือบหลุมร่องฟัน”

การเคลือบหลุมร่องฟันควรทำในฟันที่มีหลุมร่องฟันลึกและแคบ ยากต่อการเข้าทำความสะอาดของขนแปรงสีฟัน ซึ่งส่วนใหญ่ได้แก่ฟันกรามแท้ ซี่ที่ขึ้น เมื่อเด็กอายุ 6 และ 12 ปี การเคลือบหลุมร่องฟันนิยมทำในช่วงวัยเด็กถึงวัยรุ่น ซึ่งฟันเพิ่งขึ้นมาในช่องปากไม่นานนัก อย่างไรก็ตามทันตแพทย์อาจแนะนำให้ เคลือบหลุมร่องฟันในฟันซี่อื่นๆ เช่น ฟันกรามน้อย ฟันหน้าบนแท้ หรือฟันกรามน้ำนม ได้ในทุกช่วงอายุ หากพิจารณาแล้วว่ามีความเสี่ยงและจำเป็นต้องได้รับการป้องกัน

 

ประโยชน์ของการ “เคลือบหลุมร่องฟัน”

– ป้องกันฟันผุในฟันที่มีหลุมและร่องลึก
– ป้องกันการลุกลามของรอยโรคฟันผุในระยะเริ่มแรก

 

การเคลือบหลุมร่องฟันมีขั้นตอนการทำที่ง่าย
ไม่เจ็บปวดและใช้เวลาน้อย
ซึ่งช่วยป้องกันการเกิดฟันผุบริเวณที่มีหลุมและร่องลึกได้