คำแนะนำสำหรับการอุดฟัน

การฟอกสีฟันคืออะไร?
การฟอกสีฟัน คือ การทำให้ฟันขาวขึ้นโดยใช้สารฟอกสีฟัน
สาเหตุที่ทำให้ฟันหมองคล้ำ
อาจเกิดจากการติดสีภายในหรือภายนอกตัวฟันก็ได้ หรืออาจเกิดร่วมกันก็ได้ ซึ่งการติดสีภายในตัวฟันก็มีหลายสาเหตุ โดยอาจเกิดจากการได้รับยาบางชนิดในช่วงวัยเด็กที่กำลังอยู่ในช่วงของการสร้างตัวฟัน หรือการเป็นโรคทางระบบบางชนิด ซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติในโครงสร้างของฟัน หรือการได้รับอุบัติเหตุที่ฟัน การกระแทก รอยผุ ฟันตาย ก็สามารถทำให้ฟันเปลี่ยนสีไปได้ ส่วนการติดสีภายนอกตัวฟันนั้น ส่วนมากมักเกิดจากสีที่อยู่ในอาหารที่เรารับประทาน ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ ไวน์แดง รวมถึงคราบบุหรี่
วิธีการรักษามีกี่วิธี ? อะไรบ้าง ?
การรักษาเพื่อให้ฟันขาวขึ้นนั้น ต้องพิจารณาวิธีการรักษาจากความรุนแรงของสีฟันที่ผิดปกติไป ขั้นต้นควรลองขัดฟันทำความสะอาดดูก่อนว่าฟันขาวขึ้นหรือไม่ หากยังคงมีสีที่เข้มผิดปกติอยู่จึงพิจารณาฟอกสีฟัน ซึ่งหลักๆ มี 2 วิธี คือ ทำโดยทันตแพทย์ และทำเองที่บ้าน
สำหรับการทำโดยทันตแพทย์ จะใช้สารฟอกสีฟันที่ความเข้มข้นสูงใช้เวลาไม่นาน เห็นผลรวดเร็ว
สำหรับการทำเองที่บ้าน ทันตแพทย์จะพิมพ์ปากเพื่อทำอุปกรณ์ถาดฟอกสีฟัน ให้ผู้ป่วยนำกลับไปใส่ที่บ้าน หรือกรณีที่ทำมาสำเร็จรูปแล้วก็มี
ประสิทธิภาพของการฟอกสีฟัน
ฟันที่ถูกฟอกสีจะมีการคืนกลับของสี เข้มขึ้นเล็กน้อยซึ่งเกิดจากการดูดน้ำกลับของฟัน และจะคงที่ภายใน 6 สัปดาห์แรกหลังจากฟอกสี หากทำโดยทันตแพทย์มักเห็นผลว่าขาวขึ้นทันทีภายหลังจากการฟอกสีฟัน แต่หากเป็นการทำเองที่บ้าน ฟันจะค่อยๆ ขาวขึ้น ซึ่งอาจจะเห็นความแตกต่างได้น้อยกว่า และเนื่องจากการฟอกสีโดยทันตแพทย์นั้นใช้เวลาเร็วเพื่อให้ฟันขาวขึ้น ดังนั้นการกลับคืนของสีก็จะเร็วกว่าการฟอกเองที่บ้านด้วย จึงแนะนำให้ทำร่วมกันทั้ง 2 วิธี ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์
ข้อดี – ข้อเสีย และผลข้างคียง
ข้อดี ก็เป็นที่แน่นอนว่าทำให้ฟันขาวขึ้น
ข้อเสีย นั้นในบางกรณีอาจเกิดอาการเสียวฟันได้ และหากน้ำยาฟอกสีฟันไปสัมผัสบริเวณเหงือกก็อาจทำให้เกิดแผลได้ นอกจากนี้การฟอกสีจะเปลี่ยนเฉพาะสีฟันเท่านั้น ไม่มีผลต่อวัสดุอุดเดิมและครอบฟันเดิม หากมีวัสดุอุดเดิมอยู่หรือครอบฟันเดิมอยู่ก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนให้มีสีที่เท่ากันกับภายหลังการฟอกสี
วิธีการดูแลรักษาเพื่อคงสภาพสีฟันหลังจากการฟอกสีฟัน
งดการรับประทานอาหารที่มีสีเข้ม เพื่อชะลอการติดสีของฟัน และดูแลอนามัยช่องปากให้ดี หากมีอาการเสียวฟันก็อาจใช้ยาสีฟันช่วยลดอาการเสียวฟันได้
การเคลือบผิวฟัน ( Veneer )
การเคลือบผิวฟันคืออะไร ?
การเคลือบผิวฟัน หรือ veneer นั้นคือ การใช้วัสดุสีเหมือนฟันปิดบริเวณผิวหน้าของฟัน
เพราะเหตุใดจึงต้องเคลือบผิวฟัน
ทำเมื่อต้องการแก้ไขขนาด รูปร่าง หรือตำแหน่งของฟันที่มีความผิดปกติเล็กน้อย รวมทั้งในบางกรณีสามารถที่จะเปลี่ยนสีของฟันให้เสมอกันได้ด้วย
ประเภทของการเคลือบผิวฟัน
หลักๆ มี 2 ประเภท
1. การทำ veneer ขึ้นโดยตรงภายในช่องปากด้วยเรซินคอมโพสิต
2. การสร้างชิ้นงานจากห้องปฏิบัติการแล้วนำมายึดติดในช่องปาก ชิ้นงานอาจทำจากวัสดุเซรามิก หรือวัสดุคอมโพสิตอีกชนิดหนึ่ง จะมีความคงทนมากกว่าประเภทแรก ชิ้นงานที่ทำขึ้นจะมีความหนาประมาณ 0.3 – 0.5 mm. หรือประมาณความหนาของ contact lens
ขั้นตอนการรักษา
เริ่มแรกจะต้องได้รับการตรวจประเมินอย่างละเอียดก่อนว่าปัญหาที่ต้องการแก้ไข สามารถแก้ไขด้วยการทำ veneer ได้ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการกรอผิวเคลือบฟันเพื่อเตรียมให้ฟันมีลักษณะที่เหมาะสมต่อการทำ veneer หากเป็นการทำโดยตรงในช่องปากจะสามารถทำ veneer ด้วยเรซินคอมโพสิตต่อได้เลย แต่หากเลือกใช้วัสดุเซรามิก ทันตแพทย์จะพิมพ์แบบจำลองฟัน ในกรณีที่ต้องส่งแล็บเพื่อสร้างชิ้นงาน เมื่อได้ชิ้นงานแล้วก็นำมายึดติดในช่องปากอีกครั้ง
ข้อดี – ข้อเสีย
ข้อดี มีความคงทน สวยงาม สีจะขาวขึ้นโดยควบคุมได้มากกว่าการฟอกสีฟัน สามารถเลือกสีที่ต้องการได้ตั้งแต่ต้น
ข้อเสีย คือมีการกรอฟัน ทำให้สูญเสียเนื้อฟัน
วิธีการดูแลรักษาหลังทำการเคลือบฟัน
ควรดูแลอนามัยช่องปากให้ดี รวมทั้งควรงดการใช้งานที่ผิดปกติ เช่น นำไปกัดอาหารแข็งหรือเหนียว
ช่องว่างระหว่างฟันคืออะไร
โดยลักษณะปกติแล้ว ฟันสองซี่จะอยู่ติดกันโดยปราศจากช่องว่างแต่ถ้าฟันสองซี่ที่ติดกันไม่อยู่ชิดกันด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ก็จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อความสวยงามและเศษอาการติดตรงบริเวณนั้นได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันคืออะไร
สาเหตุที่เกิดช่องว่างระหว่างฟันมีด้วยกันหลายสาเหตุ
1. การสูญเสียฟันก่อนกำหนด หรือฟันแท้ไม่ขึ้นในช่องปาก ทำให้มีช่องว่างบริเวณนั้น
2. ความไม่สัมพันธ์กันของซี่ฟันและขนาดขากรรไกร โดยซี่ฟันมีขนาดเล็ก แต่ขากรรไกรมีขนาดใหญ่ แม้ฟันจะขึ้นครบในช่องปากก็ยังเกิดช่องว่างบริเวณนั้นได้
3. ลักษณะนิสัยผู้ป่วยที่มักใช้ลิ้นดุนฟันเวลากลืนทำให้มีแรงดันที่ฟันหน้าเกิดเป็นช่องว่างที่บริเวณนั้น
4. ความผิดปกติของเนื้อเยื่อโยงยึดระหว่างริมฝีปากกับสันเหงือก ที่มีลักษณะหนาหรือแข็งมากกว่าปกติหรือยึดเกาะผิดตำแหน่งทำให้ขวางการเคลื่อนมาประชิดกันของฟันหน้า
5. การได้รับอุบัติเหตุบางประการ ที่ทำให้ฟันโยกเคลื่อนจากตำแหน่งและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
6. เกิดจากผู้ป่วยเป็นโรคปริทันต์รุนแรง ที่ทำให้ฟันเคลื่อนโยกออกจากตำแหน่งเดิมและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ปัญหาต่างๆนั้นเราสามารถแก้ไขได้อย่างไรบ้าง
สำหรับวิธีการรักษาช่องว่างระหว่างฟัน สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาก็คือสาเหตุการเกิดช่องว่างระหว่างฟันนั้นและทำการแก้ไขให้ถูกต้องตามสาเหตุ
การรักษาที่ 1 คือ การติดตามดูอาการร่วมกับการปรับพฤติกรรมในผู้ป่วยที่มีสาเหตุของช่องว่างระหว่างฟันที่เกิดจากการเอาลิ้นดุนฟัน
การรักษาที่ 2 คือ การจัดฟันโดยใช้เครื่องมือช่วยในการเคลื่อนฟันให้มาประชิดกัน
การรักษาสุดท้าย ในกรณีที่ช่องว่างระหว่างฟัน มีขนาดใหญ่ที่จะอุดปิดได้ก็อาจจะต้องพิจารณาในการใช้ฟันทดแทน แต่จะเลือกการรักษาโดยวิธีการใด จำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับผู้ป่วยด้วยเช่นกัน
การดูแลรักษาหลังจากที่ได้ทำการรักษาไปแล้วควรทำอย่างไร
คือ การแปรงฟันร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันตามปกติ แต่ในกรณีรักษาโดยการอุดปิดด้วยวัสดุสีเหมือนฟันหรือเคลือบผิวฟันอาจต้องระวัง หลีกเลี่ยงการกัดอาหาร แข็งเหนียว เนื่องจากวัสดุอุดหรือบริเวณนั้นมีโอกาสแตกหักได้ง่ายกว่าฟันปกติ
การอุดฟัน คือ การทดแทนเนื้อฟันที่สูญเสียไปจากกรณีต่างๆ ดังนี้
1. ฟันผุ
2. ฟันสึก
3. ฟันแตกหักหรือบิ่นเนื่องจากอุบัติเหตุ
4. วัสดุอุดเก่าชำรุดหรือบิ่น
เพื่อให้กลับมามีรูปร่างฟันตามปกติ สามารถใช้บดเคี้ยวอาหารได้ รวมถึงมีความสวยงาม โดยเฉพาะในบริเวณฟันหน้า ทันตแพทย์จะเป็นผู้ตรวจและวินิฉัยว่าควรได้รับการอุดฟันหรือไม่
มารู้จักวัสดุอุดฟันกันเถอะ
วัสดุอุดฟันที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีดังนี้
1. วัสดุอุดโลหะ (อะมัลกัม)
2. วัสดุอุดสีเหมือนฟัน (เรซินคอมโพสิต)
นอกจากนี้ยังมีวัสดุอุดฟันชนิดอื่นๆ เช่น ทอง กลาสไอโอโนเมอร์ พอร์ซเลน
วัสดุอุดโลหะ (อะมัลกัม)
เป็นวัสดุอุดฟันที่คงทน แข็งแรง และราคาไม่แพง แต่เนื่องจากวัสดุมีสีเงิน/สีเทา มองแล้วไม่สวยงาม จึงไม่นิยมใช้ในบริเวณที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ฟันหน้า สำหรับผู้ป่วยที่อุดด้วยวัสดุอุดนี้ ไม่ควรเคี้ยวอาหารด้านที่อุดฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากวัสดุที่ใช้ ในระยะแรกยังมีความแข็งแรงไม่เต็มที่ มีโอกาสเสี่ยงต่อการแตกหักได้ อย่างไรก็ตามสามารถเคี้ยวอาหารได้ปกติภายหลัง 24 ชั่วโมง
วัสดุอุดสีเหมือนฟัน (เรซินคอมโพสิต)
เป็นวัสดุอุดที่มีสีใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ จึงมักถูกเลือกใช้สำหรับบริเวณที่ต้องการความสวยงาม วัสดุอุดนี้มีความแข็งแรงพอสมควร แต่รับแรงบดเคี้ยวได้น้อยกว่าวัสดุอุดโลหะจึงไม่นิยมใช้อุดฟันขนาดใหญ่ อาจจะเกิดการบิ่น แตกหักได้ง่าย และมีราคาแพงกว่าวัสดุอุดโลหะ นอกจากนี้ในระยะยาวสามารถติดสีคราบจากชา กาแฟ หรือยาสูบได้
ฟันที่ได้รับการอุดจะอยู่กับเราได้นานเท่าใด ?
ความคงทนของวัสดุอุดนั้นขึ้นอยู่กับ
• ชนิดของวัสดุอุดที่ใช้
• การบดเคี้ยว การใช้งาน การเลือกรับประทานอาหาร ที่ไม่แข็ง และเหนียวเกินไป
• การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากที่ดี
• พฤติกรรมของแต่ละบุคคล เช่น นอนกัดฟัน การแปรงฟันแรงเกินไป เป็นต้น
สรุป
การอุดฟัน เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียเนื้อฟันที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆ เท่านั้น แต่การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของตนเอง ด้วยการแปรงฟันที่ถูกวิธี ลดพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่ดี เช่น การกินอาหารที่เหนียวติดฟัน การใช้ฟันผิดหน้าที่ ชอบเคี้ยวของแข็ง ฯลฯ และมาพบทันตแพทย์เป็นประจำ ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก
ทันตกรรมเพื่อความสวยงามมีกี่ประเภท ?
โดยหลักๆ จะมีอยู่ 4 แบบ คือ การฟอกสีฟัน เพื่อทำให้ฟันขาวขึ้น การทำวีเนียร์หรือเคลือบฟันเทียม เพื่อปรับรูปร่างและขนาดของฟันให้เหมาะสม การทำครอบฟัน มีการเรียงตัวที่ผิดปกติไปมาก ทำในฟันที่ได้รับการรักษารากฟันไปแล้ว การอุดฟันด้วยวัสดุอุดสีเหมือนฟัน ซึ่งทั้งหมดนี้ยังไม่รวมการจัดฟัน
การฟอกสีฟันคืออะไร ?
คือการนำสารเคมีจำพวกเปอร์ออกไซด์ทาไปบนตัวผิวฟันเพื่อให้ฟันเกิดการแตกตัวของเม็ดสี ทำให้สีของฟันขาวขึ้น โดยทั่วไปแบ่งออกไป 2 ลักษณะ คือ การฟอกด้วยตัวเองที่บ้าน หรือที่เรียกว่า Home Bleaching และการฟอกโดยทันตแพทย์ ที่เรียกว่า In-Office Bleaching โดย Home Bleaching ทันตแพทย์จะทำการพิมพ์ปากของคนไข้ แล้วก็ส่งไปทำถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคล ซึ่งถาดฟอกสีฟันเฉพาะบุคคลก็จะใส่ร่วมกับสารฟอกสีฟัน ส่วนวิธี In-Office Bleaching ทันตแพทย์ก็จะทำการทาสารลงไปบนตัวฟันทิ้งไว้ โดยที่มีการกระตุ้นให้สารตัวนี้ทำงานโดยใช้แสงสีฟ้าหรือแสงเลเซอร์ ทำการฟอกประมาณ 2 – 4 ชั่วโมง แต่วิธีนี้จะทำให้ฟันขาวเร็วขึ้น แต่ความเสถียรของความขาวมีอยู่ค่อนข้างน้อย ทันตแพทย์จึงนิยมใช้วิธี In-Office Bleaching ร่วมกับการทำ Home Bleaching
การเคลือบผิวฟันคืออะไร ?
การเคลือบผิวฟันหรือทำวีเนียร์ ทันตแพทย์ก็จะทำการประเมินแล้วกรอแต่งฟัน โดยการกรอแต่งฟันทันตแพทย์จะกรอฟันให้น้อยที่สุด ทำการพิมพ์ปากแล้วส่งไปให้แลป แลปก็จะทำเป็นชิ้นงานส่งมาให้ให้ทันตแพทย์เพื่อที่จะยึดกลับไปในคนไข้ โดยชิ้นงานจะมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ คอมโพสิตหรือเซรามิค ซึ่งความคงทนและแข็งแรงของเซรามิคจะมีสูงกว่า ค่าใช้จ่ายก็จะแพงกว่าแบบคอมโพสิต
ก่อนอื่นขออนุญาติเรียกการเคลือบผิวฟันว่า veneer การเคลือบผิวฟันคือ การใช้วัสดุสีเหมือนฟันปิดบริเวณผิวหน้าของฟัน
Veneer ทำเมื่อต้องการแก้ไขขนาด รูปร่าง หรือตำแหน่งของฟันที่มีความผิดปกติเล็กน้อย รวมทั้งในบางกรณีสามารถที่จะเปลี่ยนสีของฟันให้เสมอกันได้ด้วย
หลักๆ มี 2 ประเภท
เริ่มแรกจะต้องได้รับการตรวจประเมินอย่างละเอียดก่อนว่าปัญหาที่ต้องการแก้ไขสามารถแก้ไขด้วยการทำ veneer ได้ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการกรอผิวเคลือบฟัน เพื่อเตรียมให้ฟันมีลักษณะที่เหมาะสมต่อการทำ veneer หากเป็นการทำโดยตรงในช่องปากจะสามารถทำ veneer ด้วยเรซินคอมโพสิตต่อได้เลย แต่หากเลือกใช้วัสดุเซรามิก ทันตแพทย์จะพิมพ์แบบจำลองฟันในกรณีที่ต้องส่งแล็บเพื่อสร้างชิ้นงาน เมื่อได้ชิ้นงานแล้วก็นำมายึดติดในช่องปากอีกครั้ง
ควรดูแลอนามัยช่องปากให้ดี รวมทั้งควรงดการใช้งานที่ผิดปกติ เช่น นำไปกัดอาหารแข็งหรือเหนียว
ภาควิชาทันตกรรมหัตถการและวิทยาเอ็นโดดอนต์
การรักษารากฟัน คือขบวนการกำจัดเนื้อเยื่อในโพรงฟันและคลองรากฟันที่มีการติดเชื้อ และอักเสบ ร่วมกับการทำความสะอาดในคลองรากฟันให้ปราศจากเชื้อโรค จากนั้นจึงอุดคลองรากฟันและบูรณะตัวฟันเพื่อความแข็งแรงและสวยงามให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ
ฟันที่ต้องได้รับการรักษารากฟัน ส่วนใหญ่เป็นฟันที่ผุลึกมากจนทะลุโพรงประสาทฟัน ฟันที่ร้าว แตกหัก หรือสึกจนทะลุโพรงประสาทฟัน และฟันที่ได้รับแรงกระแทกจากอุบัติเหตุ ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ทำให้มีเชื้อโรคเข้าไปในโพรงประสาทฟันและทำให้เกิดการติดเชื้อของเนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟันได้
ฟันที่ต้องได้รับการรักษารากฟัน มักมีอาการปวดฟันขึ้นมาเอง อาจปวดแบบเป็นๆหายๆ หรือปวดรุนแรงจนนอนไม่หลับ หรือทำให้ต้องตื่นเนื่องจากปวดฟันมาก หรือมีอาการเสียวฟันมากเวลาดื่มของร้อนหรือเย็น รู้สึกเจ็บฟันเวลาเคี้ยวอาหาร บางครั้งอาจพบว่าฟันเปลี่ยนสี มีสีคล้ำ หรือมีอาการเหงือกบวม มีตุ่มหนอง หรือบวมบริเวณใบหน้าได้
ขั้นตอนการรักษา เริ่มจากการใส่ยาชา ใส่แผ่นยางกันน้ำลาย จากนั้นจึงกรอฟันเพื่อเปิดทางเข้าสู่โพรงประสาทฟัน กำจัดเนื้อเยื่อที่มีการติดเชื้อออกด้วยเครื่องมือที่มีขนาดเล็ก ร่วมกับการล้างคลองรากฟันด้วยน้ำยาที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ และใส่ยาฆ่าเชื้อในคลองรากฟัน เมื่อฟันมีอาการที่ปกติแล้วจะทำการอุดคลองรากฟันเพื่อปิดช่องว่างไม่ให้เชื้อโรคกลับเข้ามาอาศัยได้อีก โดยปกติจะใช้เวลาการรักษาประมาณ 2-3 ครั้งขึ้นอยู่กับความยากง่ายและสภาพการติดเชื้อของฟันแต่ละซี่ หลังจากนั้นจึงทำการบูรณะตัวฟันให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ
หลังการรักษาในแต่ละครั้งอาจพบอาการปวดได้บ้าง ประมาณ 1-3 วันแรก สามารถรับประทานยาแก้ปวดเพื่อบรรเทาอาการได้ แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหรืออาการปวดเป็นมากขึ้น ให้กลับมาพบทันตแพทย์ และไม่ควรใช้ฟันกัดหรือเคี้ยวอาหารแข็งถ้าหากว่ายังไม่ได้บูรณะตัวฟันให้แข็งแรง อาจทำให้ฟันแตกหรือหักได้
ฟันที่ได้รับการรักษารากฟันและบูรณะตัวฟันเสร็จแล้ว จะสามารถอยู่กับเราได้นานเท่ากับฟันที่ปกติ ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพฟันและช่องปากของแต่ละคน
ถ้าสามารถกำจัดสาเหตุและเชื้อโรคได้หมด และการบูรณะฟันทำได้ดีไม่รั่วซึม ร่วมกับการดูแลทำความสะอาดฟันที่ดีไม่มีการผุเพิ่มเติม ฟันก็จะไม่มีอาการปวดกลับมาอีก
สามารถดูแลรักษาได้เหมือนฟันปกติ โดยการแปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟัน และหมั่นมาพบทันตแพทย์เพื่อตรวจฟัน อย่างน้อยปีละ2ครั้ง
โดยปกติแล้วฟันที่มีการติดเชื้อในโพรงประสาทฟัน การถอนฟันก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่การรักษารากฟัน จะเป็นหนทางที่จะช่วยเก็บรักษาฟันให้คงอยู่ในช่องปากต่อไปได้ โดยไม่ต้องสูญเสียฟันและไม่ต้องใส่ฟันเทียม ซึ่งบางชนิดมีราคาที่ค่อนข้างสูงมาก เมื่อเทียบกับการรักษารากฟัน และถ้าเราดูแลฟันได้ดี ตรวจฟันสม่ำเสมอ เมื่อฟันผุก็ให้รีบอุดฟันตั้งแต่ที่ยังมีขนาดเล็กๆ อย่ารอจนมีอาการปวด ก็จะช่วยลดโอกาสที่จะต้องรักษารากฟันได้ครับ
ภาควิชาทันตกรรมหัตถการและวิทยาเอ็นโดดอนต์
เลขที่ 888 ม.6 ถ.บรมราชชนนี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170
เบอร์ตรง 0-2849-6600