Generic selectors
Exact matches only
Search in title
Search in content
Post Type Selectors

โรคมือ-เท้า-ปาก

MU DENT faculty of dentistry

โรคมือ-เท้า-ปาก

ศ.ดร.ทพญ.วรานันท์ บัวจีบ

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นอย่างไร ?
โรคมือ- เท้า-ปาก เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม enterovirus ซึ่งมักเป็น coxsackievirus A16 และยังอาจเกิดจากเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ ในกลุ่มนี้ได้ เช่น enterovirus 71 โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัส ทำให้เป็นไข้และมีตุ่มพองเกิดขึ้นที่ มือ เท้า และในปาก

 

ใครมีโอกาสเป็น โรคมือ-เท้า-ปาก ได้บ้าง ?
เด็กเล็กๆ จนถึงอายุ 10 ปี พบว่ามีโอกาสเกิดโรคสูงสุด พบได้จนถึงวัยหนุ่มสาว ผู้ใหญ่ก็ติดเชื้อได้เช่นกันแม้ว่าพบน้อย หลังจากติดเชื้อแล้วจะเกิดภูมิคุ้มกันต่อเชื้อสายพันธุ์นั้น แต่ยังมีโอกาสเป็น โรคมือ-เท้า-ปาก ได้อีก จากเชื้อไวรัสสายพันธุ์อื่นในกลุ่มเดียวกัน

 

เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิด โรคมือ-เท้า-ปาก แพร่กระจายทางใด ?
เชื้อไวรัสพบในอุจจาระ สารคัดหลั่ง เช่น น้ำมูก น้ำลาย รวมทั้งในตุ่มพองของผู้ป่วย เชื้อจึงแพร่กระจายได้จากการสัมผัสกับอุจจาระ น้ำมูก น้ำลายและน้ำในตุ่มพองของผู้ที่เป็นโรค

 

อาการของ โรคมือ-เท้า-ปาก มีอะไรบ้าง ?
หลังจากสัมผัสเชื้อ 3 – 6 วัน เด็กจะมีไข้ อ่อนเพลีย เจ็บคอ หลังจากนั้น 1 – 2 วัน เด็กมักจะมีอาการเจ็บในปาก ทำให้ไม่ยอมรับประทานอาหารตามปกติ ทั้งนี้เนื่องจากมีตุ่มพองและแผลเกิดขึ้นในปาก นอกจากนี้ยังพบตุ่มพองที่มือและเท้าด้วย

ลักษณะที่สังเกตพบในปากเป็นอย่างไร ?
ส่วนใหญ่เด็กจะมีอาการเจ็บในปาก ทำให้ไม่รับประทานอาหารตามปกติ ในปากจะเริ่มจากมีจุดแดงแล้วเป็นตุ่มพอง มักพบที่เพดานแข็ง ลิ้น กระพุ้งแก้ม ตุ่มพองนี้มักจะแตกออกหลังจากเกิดขึ้นไม่นาน ทำให้พบลักษณะเป็นแผลตื้นๆ รูปร่างกลมขนาดเล็ก เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1 – 2 มิลลิเมตร ขอบแผลแดง พื้นแผลมีสีออกเหลือง แผลเล็กๆ หลายแผลอาจรวมกันเป็นแผลใหญ่ก็ได้

 

ลักษณะที่พบบริเวณมือและเท้าเป็นอย่างไร ?
ผื่นที่ผิวหนังอาจเกิดต่อเนื่อง 1 – 2 วัน เริ่มจากจุดเรียบหรือนูนแดง แล้วกลายเป็นตุ่มพองและแตกออกเป็นแผล พบได้ที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้า รวมทั้งด้านข้างของนิ้วมือและนิ้วเท้า

 

วินิจฉัยโรคด้วยวิธีใด ?
การวินิจฉัยมักอาศัยประวัติและการตรวจร่างกาย ในกรณีที่จำเป็นอาจตรวจหาเชื้อไวรัส (coxsakievirus หรือ enterovirus ชนิดอื่นๆ) เพื่อสนับสนุนการวินิจฉัย แต่ค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลานาน

 

มีวิธีดูแลรักษาอย่างไร ?
ควรไปพบแพทย์ทันทีที่สงสัยว่าเป็นโรค เนื่องจากแม้ปกติ โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่ไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 7 – 10 วัน ในปัจจุบันมีรายงานถึงการระบาดของโรคและมีภาวะแทรกซ้อน ที่เป็นอันตรายถึงชีวิตได้

 

ป้องกันโรคได้อย่างไร ?
เชื้อไวรัสที่ทำให้เกิด โรคมือ-เท้า-ปาก พบได้ในอุจจาระ น้ำมูก น้ำลายและน้ำในตุ่มพอง เชื้อติดต่อจากการสัมผัสโดยตรงและจากการสัมผัสทางอ้อม เช่น ใช้ของร่วมกับผู้ป่วย ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือ การรักษาสุขอนามัย โดยการล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอโดยเฉพาะก่อนรับประทานอาหาร หลังจากเข้าห้องน้ำ หลังเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เด็ก ก่อนเตรียมอาหาร รวมทั้งหลังจากสัมผัสน้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย

เมื่อใดและนานเท่าใดที่ผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อได้ ?
ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้ตั้งแต่เมื่อเริ่มเป็นโรค จนถึงเมื่อตุ่มพองที่ผิวหนังหายไป เชื้อไวรัสถูกปลดปล่อยออกมาทางอุจจาระนานหลายสัปดาห์

 

มีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ ?
ปกติ โรคมือ-เท้า-ปาก จะไม่รุนแรงและหายได้เอง แต่เชื้อไวรัสบางสายพันธุ์อาจทำให้เกิดการติดเชื้อที่รุนแรงและภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย เช่น สมองอักเสบ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดบวม เป็นต้น

 

ป้องกันการกระจายของโรคอย่างไร ?
ควรแยกเด็กที่ป่วย นอกจากนี้ผู้ที่สัมผัสกับน้ำมูก น้ำลายและอุจจาระของผู้ป่วยต้องล้างมือให้สะอาด เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อ

 

สรุป
โรคมือ-เท้า-ปาก เป็นโรคที่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี สามารถให้การวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะแรกจากลักษณะอาการของผู้ป่วย โดยเฉพาะในรายที่มีตุ่มพองและแผลในปากร่วมกับตุ่มพองที่มือและเท้า ควรพบแพทย์/ทันตแพทย์เพื่อการดูแลรักษาได้อย่างเหมาะสม เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วยและป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

นอนกัดฟัน

MU DENT faculty of dentistry

นอนกัดฟัน

แผลร้อนใน กวนตัว กวนใจ

MU DENT faculty of dentistry

แผลร้อนใน กวนตัว กวนใจ

อ.ทพ.เดชศักดิ์ นาคะปักษิราช

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

แผลร้อนในคืออะไร ?
คือ โรคที่เกิดขึ้นที่เนื้อเยื่อบุผิวช่องปาก อาจเกิดเพียงหนึ่งหรือหลายแห่ง ทำให้เกิดความเจ็บปวดมาก โดยจะเกิดเป็นจุดแดงหรือตุ่ม ต่อมาจะพัฒนาแยกออกมาเป็นแผลเปิด มีลักษณะเป็นสีขาว รูปวงรี โดยมีขอบเป็นสีแดงนูนออกมา โดยระยะเวลาของอาการอาจเกิดได้ตั้งแต่ 1 ถึง 2 สัปดาห์ พบได้บ่อยในช่วงวัยรุ่นจนถึงวัยหนุ่มสาว โดยผู้หญิงพบได้บ่อยกว่าผู้ชาย มักพบที่ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม เหงือก

 

สาเหตุเกิดจากอะไรหรอ ?

ถ้าเป็นแล้วต้องทำอย่างไร ?
 
– หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด รวมไปถึงขนมหวานที่เหนียว และแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้แผลรุนแรงมากขึ้น
– ให้หลอดดูดน้ำแทนการดื่มน้ำจากแก้วโดยตรง เพื่อเลี่ยงไม่ให้น้ำสัมผัสแผลโดยตรง
– ใช้แปรงสีฟันที่มีขนนุ่ม ถ้าใช้ยาสีฟันที่ผสมมิ้นต์จะทำให้แสบแผล ควรเปลี่ยนมาใช้ยาสีฟันเด็กในช่วงที่เป็นแผลร้อนใน
– ควรบ้วนปากด้วยน้ำเกลือวันละ 2 – 3 ครั้ง
– ในกรณีที่แผลมีอาการรุนแรงใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดทาเฉพาะที่ป้ายบริเวณแผล จะลดอาการเจ็บและอักเสบ ทำให้แผลหายเร็วขึ้น
– ถ้าแผลไม่หายภายใน 3 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์

ทำไมต้องขูดหินน้ำลาย

MU DENT faculty of dentistry

ทำไมต้องขูดหินน้ำลาย

รศ.ทพ. ยสวิมล คูผาสุข

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

หินน้ำลายคืออะไร
หินน้ำลายหรือหินปูน คือ คราบแข็งที่ติดตามตัวฟัน พบบ่อยในฟันหน้าล่าง ด้านใน อาจพบที่บริเวณเหนือเหงือกหรือใต้เหงือก มีสีเหลืองจนถึงน้ำตาลดำ ไม่สามารถกำจัดออกโดยการแปรงฟันต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้กำจัดให้

หินน้ำลายเกิดขึ้นได้อย่างไรและมีผลอะไรต่อช่องปาก
หินน้ำลายเกิดจากการสะสมของคราบอาหารหรือคราบจุลินทรีย์ที่แปรงออกไม่หมด ทำให้เกิดการตกตะกอนของแร่ธาตุจากน้ำลายและอาหาร จนคราบที่สะสมนั้นมีลักษณะแข็งคล้ายหิน การมีหินน้ำลายจะทำให้มีการอักเสบของเหงือก เพราะหินน้ำลายเป็นที่อยู่ของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งสร้างสารพิษออกมาทำอันตรายต่อเหงือกและละลายกระดูกรากเบ้าฟัน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีเลือดออกขณะแปรงฟัน มีกลิ่นปาก เหงือกบวมเป็นหนอง และฟันโยก ถ้าฟันโยกมากๆ อาจจะต้องถอนฟันเพราะกระดูกเบ้าฟันไม่สามารถถูกสร้างทดแทนได้

การกำจัดหินน้ำลายมี 3 วิธี

1. การขูดหินน้ำลาย (scaling) เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์และหินน้ำลายออกจากผิวฟัน มีเครื่องมือที่ใช้ขูด 2 ชนิด คือ

– เครื่องขูดหินน้ำลายไฟฟ้า (ultrasonic scaler/sonic scaler)
เป็นเครื่องมือที่ใช้พลังงานกลในการกระแทกให้หินน้ำลายหลุดจากผิวฟัน

– เครื่องขูดหินน้ำลายด้วยมือ (hand scaler)
ควรใช้เครื่องมือขูดหินน้ำลายไฟฟ้าและเครื่องมือขูดหินน้ำลาย ด้วยมือร่วมกันเพื่อประสิทธิภาพของการขูดหินน้ำลายที่ดีที่สุด

2. การเกลารากฟัน (root planning) เป็นการกำจัดเคลือบรากฟัน (cementum) ที่เสียหายออกไป เพื่อทำให้ผิวรากฟันแข็งแรงและเรียบขึ้น ป้องกันไม่ให้คราบจุลินทรีย์เกาะได้ง่าย ทำให้แปรงฟันและดูแลช่องปากได้ดีมากขึ้น และทำให้เหงือกสร้างเนื้อเยื่อที่สามารถยึดเกาะกับผิวรากฟันได้ใหม่

3. การขูดเนื้อเยื่อเหงือกส่วนที่มีการอักเสบตายออก (gingival curettage) คือ การขจัดเนื้อเยื่อเหงือกส่วนที่ตายรอบๆ ร่องลึกปริทันต์ออก เพื่อให้ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อเหงือกขึ้นมาใหม่และยึดเกาะกับรากฟันได้

เนื่องจากรากฟันเคยมีหินน้ำลายเกาะมานาน เมื่อได้รับการขูดหินน้ำลายแล้ว ผิวรากฟันจะมีช่องเปิดสู่โพรงประสาทฟัน ทำให้มีอาการเสียวฟันง่ายเมื่อทานของเย็น แต่ร่างกายสามารถสร้างเนื้อฟันขึ้นมาทดแทนภายในโพรงประสาทฟันได้ เมื่อผู้ป่วยแปรงฟันได้ดี

 

เราสามารถป้องกันการเกิดหินน้ำลายได้ด้วยตัวเราเอง เนื่องจากหินน้ำลายเกิดจากคราบอาหารที่แปรงออกไม่หมด ซึ่งเป็นหลักฐานที่แสดงว่าอดีตที่ผ่านมาผู้ป่วยดูแลตัวเองได้ไม่ดี ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นได้ปกติ

 

ดังนั้นถ้าไม่อยากมีหินน้ำลายเกิดขึ้นในช่องปาก เราต้องแปรงฟันอย่างถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ และหมั่นไปพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อตรวจสอบว่าเราแปรงฟันได้ดีเพียงใด ทันตแพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำที่ดีแก่ท่าน

โรคเบาหวานกับโรคปริทันต์

MU DENT faculty of dentistry

โรคเบาหวานกับโรคปริทันต์

รศ.ทพ. ยสวิมล คูผาสุข

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

เป็นโรคเบาหวานน่ากลัวอย่างไร ?
การเป็นโรคเบาหวาน เกิดจากการที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเป็นเวลานาน อันเนื่องมาจากความผิดปกติในการหลั่งอินซูลินหรือความผิดปกติในการทำงานของอินซูลิน ทั้งนี้เพราะอินซูลินมีหน้าที่ในการนำน้ำตาลจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย เมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดสูงเป็นเวลานานจะก่อให้เกิดความผิดปกติต่อโครงสร้างและการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตา ไต เส้นประสาท หลอดเลือดและหัวใจ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ไม่ได้รับการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดหรือการรักษาที่เหมาะสมมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ เช่น การอุดตันของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงเส้นประสาทส่วนปลายเกิดอาการชาและการติดเชื้อง่าย มีอาการตามัวไปจนถึงตาบอดได้ การทำงานของไตลดลงจนถึงเป็นโรคไตระยะสุดท้าย เป็นต้น

 

เคยรู้ไหม คนเป็นเบาหวานมักป็นโรคเหงือกอักเสบง่ายกว่า
โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์อักเสบเป็นโรคที่มีการอักเสบของอวัยวะรองรับฟัน (เหงือก กระดูกเบ้าฟัน เอ็นยึดปริทันต์ เคลือบรากฟัน) มีสาเหตุหลักจากเชื้อแบคทีเรียที่กระจายอยู่ภายในช่องปากและสะสมอยู่บริเวณขอบเหงือกและซอกฟัน มีหลายการศึกษาที่บ่งบอกว่าโรคเบาหวานเป็นปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์อักเสบด้วย ผู้ป่วยโรคเบาหวานส่วนใหญ่ไม่ทราบถึงภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นภายในช่องปาก ซึ่งรวมถึงอาการปากแห้งเนื่องจากน้ำลายไหลน้อยลง อาการปวดแสบปวดร้อน ติดเชื้อในช่องปากง่าย แผลหายช้า มีการศึกษาบ่งชี้ว่า ผู้ป่วยโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคเหงือกอักเสบ โรคปริทันต์อักเสบและสูญเสียฟันมากกว่าผู้ป่วยที่ไม่เป็นโรคเบาหวาน ยิ่งไปกว่านั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานเมื่อเป็นโรคปริทันต์อักเสบแล้วยิ่งทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดีเป็นผลให้การรักษาโรคเบาหวานมักไม่ค่อยได้ผล เรื่องที่น่าสนใจอีกด้านหนึ่งที่ควรรู้คือผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือดได้ดีมีการตอบสนองต่อการรักษาโรคปริทันต์อักเสบใกล้เคียงกับผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน ในขณะเดียวกันผู้ที่ควบคุมเบาหวานไม่ดีพบว่าเป็นโรคปริทันต์อักเสบรุนแรงกว่าและสูญเสียฟันมากกว่าผู้ที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีและผู้ที่ไม่ได้เป็นเบาหวาน

 
 

เป็นโรคเบาหวานแต่ไม่อยากสูญเสียฟัน ต้องทำอย่างไร ?
อย่างที่เราทราบแล้วว่าผู้ป่วยโรคเบาหวานมีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อแบคทีเรียต่ำกว่าผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวาน และเนื่องจากเชื้อแบคทีเรียซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเกิดโรคปริทันต์อักเสบและเป็นผลให้สูญเสียฟันนั้น มักตกค้างอยู่บนผิวฟันบริเวณขอบเหงือกและซอกฟัน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เราแปรงฟันไม่ถึง ดังนั้นหลักการง่าย ๆ แต่ต้องฝึกฝนอย่างจริงจังในการป้องกันการเกิดโรคปริทันต์อักเสบนอกเหนือจากการได้รับการขูดหินน้ำลายทั้งปากจากทันตแพทย์แล้วคือการแปรงฟันและการใช้ไหมขัดฟันอย่างถูกวิธี โดยมีจุดมุ่งหมายในการกำจัดคราบอาหารนอกเหนือจากเศษอาหารที่ติดตามซอกฟัน อย่างไรก็ตามการดูแลทำความสะอาดช่องปากอย่างถูกต้องและได้ผลที่ดีควรปรึกษาบุคลากรทางทันตกรรมเพื่อรับคำแนะนำและการติดตามผลอย่างต่อเนื่องต่อไป ดังนั้นผู้ป่วยโรคเบาหวานนอกเหนือจากการออกกำลังกาย รับประทานอาหารและยาที่แพทย์แนะนำเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลให้ดีแล้ว ควรตระหนักถึงการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันให้ถูกต้องและสม่ำเสมอ เพื่อจะได้มีฟันที่แข็งแรงไว้ใช้เคี้ยวอาหารได้นาน ๆ

คราบหินปูน

MU DENT faculty of dentistry

คราบหินปูน

อ.ทพญ.กญญมณฑ์ ลออคุณ

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

หินปูนคืออะไร
หินปูน คือ ภาษาชาวบ้านที่ใช้เรียกคราบแข็งที่ติดตามตัวฟัน พบมากและบ่อยในฟันหน้าล่างด้านใน มีสีเหลืองน้ำตาลจนถึงดำมีลักษณะแข็ง อาจพบได้อยู่บริเวณเหนือเหงือกหรือใต้ขอบเหงือก ซึ่งมีความหมายเหมือนหินน้ำลายซึ่งเป็นภาษาทางทันตแพทย์ หินปูนไม่สามารถกำจัดออกโดยการแปรงฟันต้องให้ทันตแพทย์เป็นผู้กำจัดออกให้

หินปูนเกิดขึ้นได้อย่างไร
หินปูนเกิดจากการสะสมของธาตุจุลินทรีย์หรือคราบอาหารที่ผู้ป่วยไม่สามารถแปรงออกได้หมด เมื่อเวลาผ่านไปเกิดการตกตะกอนแต่ธาตุจากน้ำลายและอาหารทำให้แข็งขึ้นทุกวันจนแข็งคล้ายหิน

 

ถ้าปล่อยให้หินปูนเกาะที่ฟันมากๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับฟันของเรา
เริ่มแรกจะมีการอักเสบของเหงือกก่อนเพราะหินปูนเป็นที่อยู่อาศัยของเชื้อแบคทีเรียจำนวนมาก เมื่อปล่อยไว้นานเกินไปเชื้อเหล่านี้จะสร้างสารพิษทำอันตรายต่อเหงือกและละลายกระดูกเบ้าฟันทำให้โยก มีกลิ่นปาก และอาจมีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟันได้ บางคนฟันโยกมากเคี้ยวอาหารจะเจ็บ สุดทายอาจต้องถอนฟันทิ้งไป เราไม่สามารถสร้างกระดูกเบ้าฟันให้กลับมาเหมือนเดิมได้ เนื่องจากเราเลยวัยเจริญเติบโตไปแล้ว ถ้าไม่รีบป้องกันโรคตั้งแต่วันนี้อาจจะสายเกินไป

วิธีการรักษาหรือกำจัดหินปูนทำอย่างไร
หินปูนสามารถถูกกำจัดออกได้ด้วยการขูดหินปูนโดยทันตแพทย์ การขูดหินปูนไม่จำเป็นต้องฉีดยาชา ยกเว้นในรายที่มีอาการเสียวฟันมากหรือเป็นโรครำมะนาดที่มีหินปูนอยู่ในร่องเหงือกลึกๆ

 

การขูดหินปูนบ่อยๆ จะทำให้ฟันของเราบางหรือสึกจริงหรือไม่
การทำงานของเครื่องมือขูดหินปูนไฟฟ้า คือ การสั่นของปลายเครื่องมือ ความเร็วส่งเพื่อไปกระแทกให้หินปูนหลุดออกมา ไม่ได้ไปสัมผัสกับตัวฟันโดยตรง จึงไม่มีผลต่อเนื้อฟัน

เวลาที่เราขูดหินปูนเสร็จใหม่ๆ จะรู้สึกอย่างไร
ส่วนใหญ่จะรู้สึกปากสะอาด โล่งสบาย แต่บางท่านอาจมีอาการเสียวฟันเมื่อดื่มน้ำเย็นได้ ซึ่งเป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าในกรณีเป็นโรครำมะนาดที่มีหินปูนเกาะมากเป็นแผง หลังขูดหินปูนออกอาจรู้สึกเหมือนฟันโยก เนื่องจากเชื้อโรคได้ทำลายกระดูกรอบรากฟันไปบางส่วนทำให้ฟันแข็งแรงน้อยลง พอกำจัดหินปูนออกไปฟันที่เคยถูกเชื่อมยึดกันเป็นแผงก็เป็นอิสระต่อกันจึงรู้สึกว่าฟันโยกได้

 

วิธีป้องกันไม่ให้เกิดหินปูนจะทำอย่างไร
เนื่องจากหินปูนเกิดจากการตกตะกอนของแร่ธาตุบนคราบอาหารที่ค้างอยู่ ดังนั้นการป้องกันการเกิดหินปูน คือการแปรงฟันให้ถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดคราบอาหารนั้นออกให้หมด ไม่ใช่กำจัดเพียงเศษอาหารชิ้นใหญ่ๆ เท่านั้นจึงจะสามารถป้องกันได้จริงๆ

โรคเหงือกอักเสบ

MU DENT faculty of dentistry

โรคเหงือกอักเสบ

รศ.ทพ.ยสวิมล คูผาสุข

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

โรคเหงือกอักเสบคืออะไรและเราจะรู้ได้อย่างไร ? ว่าเราเป็นโรคเหงือกอักเสบ

โรคเหงือกอักเสบตามคําจํากัดความก็คือมีอาการอักเสบของเหงือก ลักษณะอาการทั่วไปที่ผู้ป่วยมักจะมาปรึกษาก็คือเรื่องของการที่มีขอบเหงือกแดง มีเลือดออกหลังจากแปรงฟัน บางครั้งก็จะมีเศษอาหารติดตามซอกฟัน เคี้ยวอาหารแล้วก็มีอาการเจ็บได้เหมือนกัน

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของโรคเหงือกอักเสบ

สาเหตุโดยทั่วไป ผู้ป่วยส่วนใหญ่คิดว่า การมีหินนํ้าลายหรือมีหินปูนอยู่ในปาก เป็นตัวทําให้เกิดการอักเสบของเหงือกแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ สาเหตุหลักจริงๆ ก็คือ คราบอาหารหรือเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ตามขอบเหงือกและซอกฟัน นอกจากนี้ยังมีปัจจัยส่งเสริมใหัโรคมีความรุนแรงมากขึ้น เช่น การสูบบุหรี่ ผู้หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมากมาย หรือแม้แต่คนที่เป็นโรคเบาหวานแล้วควบคุมระดับนํ้าตาลไม่ได้ ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ส่งเสริมให้ร่างกายมีความอ่อนแอลงก็จะทําให้การอักเสบของเหงือกมากขึ้น

การรักษาและการป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ควรทําอย่างไร

การรักษาโรคทุกชนิดจําเป็นต้องกําจัดสาเหตุออกไป เพราะฉะนั้นสาเหตุหลักของโรคเหงือกอักเสบ คือ เชื้อแบคทีเรียที่มีอยู่ตามขอบเหงือกและซอกฟัน การรักษาคือต้องกําจัดสาเหตุเหล่านี้ออกไป โดยการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันแต่แค่นั้นยังไม่พอ เราจําเป็นจะต้องมีการแปรงฟันทําความสะอาดฟัน เนื่องจากสาเหตุของโรคจะมาทุกวันหลังจากที่เราไปทานอาหารก็จะมีสาเหตุใหม่กลับมา มีการอักเสบใหม่ตลอดเวลาเพราะลําพังแค่บอกว่าไปหาหมอ แล้วให้หมอขูดหินนํ้าลาย อันนั้นไม่ใช่การรักษาแต่เป็นแค่การทําความสะอาดฟัน

 

ผู้ป่วยเองจําเป็นจะต้องมีการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด สมํ่าเสมอ ด้วยการแปรงฟันและใช่ไหมขัดฟัน อย่างถูกวิธีเพื่อกําจัดสาเหตุใหม่ที่กลับมาทุกวันและที่สําคัญที่สุดคือจําเป็นจะต้องไปพบทันตแพทย์ทุกๆ ๖ เดือน เพื่อให้คุณหมอได้ตรวจดูว่าเราแปรงฟันได้สะอาดเพียงพอหรือไม่ มีการอักเสบของเหงือกใหม่หรือเปล่า ก็อยากให้ทุกคนดูแลตัวเองให้มากขึ้น

โรคของเนื้อเยื่ออ่อน

MU DENT faculty of dentistry

โรคของเนื้อเยื่ออ่อน

รศ.ทพญ.สุพานี ธนาคุณ

อ.ทพญ.คุนันยา พิมลบุตร

ภาควิชาเวชศาสตร์ช่องปากและปริทันตวิทยา

โรคของเนื้อเยื่ออ่อนที่อยู่ในช่องปาก
ในช่องปากนอกจากโรคฟันผุและโรคปริทันต์ที่ทุกท่านคุ้นเคยกันดีอยู่แล้ว ยังสามารถพบโรคหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้กับเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก เช่น กระพุ้งแก่ม ริมฝีปาก ลิ้น เพดาน ฯลฯ

 

โรคของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากที่พบได้บ่อยและสาเหตุ
โรคของเนื้อเยื่ออ่อนที่พบได้บ่อยในคนทั่วไป เช่น แผลแอฟทัสหรือแผลร้อนใน ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคที่แน่ชัด แต่พบว่ามีปัจจัยหลายอย่างที่กระตุ้นให้เกิดแผลร้อนในในช่องปากได้ เช่น ความเครียดการเปลี่ยนแปลง ฮอร์โมนในร่างกาย ส่วนประกอบบางอย่างในอาหาร เช่น สารกันบูด สารแต่งกลิ่น สี รส การขาดเหล็ก โฟเลท หรือวิตามินบี ๑๒ ฯลฯ

 

นอกจากนี้อาจพบรอยโรคจากการระคายเคืองเรื้อรัง การระคายเคืองจากยาหรือสารเคมี เช่น ยาแก้ปวด นํ้ายาบ้วนปาก ยาสีฟัน ลิปสติก ผู้ป่วยบางรายที่มีอาการปวดฟัน อาจนํายาแกัปวดไปวางไวัที่ร่องกระพุ้งแก้ม ใกล้กับ ตําแหน่งฟันที่ปวด ยาแก้ปวดจะไประคายเคืองเนื้อเยื่ออ้อนบริเวณนั้นเกิดเป็นแผลได้ หรือผู้ป่วยบางรายเปลี่ยนยาสีฟัน หรือลิปสติกใหม่ๆ อาจทําให้เกิดอาการแพ้ หรือการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์เหล่านี้

การติดเชื้อในช่องปาก เช่น การติดเชื้อรา การติดเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งรอยโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันบางชนิด ทําให้มีความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากได้ เช่น ไลเคนแพลนัส เพมฟิกัส เพมฟิกอยด์ ฯลฯ อีกทั้งหลังการรักษามะเร็งด้วยเคมีบําบัด หรือรังสีรักษา สามารถทําให้เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากเกิดความผิดปกติได้ เช่นกัน

การใส่ฟันเทียมชนิดถอดได้ตลอดเวลาแม้ในช่วงเวลานอนตอนกลางคืน ร่วมกับการดูแลทําความสะอาดฟันเทียมที่ไม่ดี อาจทําใหัเพดานที่ฟันเทียมทับอยู่มีการอักเสบได้ และสุดท้าย คือ อาการปากแห้ง เนื่องจากผลข้างเคียงของยารักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ยาคลายกังวล ยาต้านอาการซึมเศร้า ฯลฯ ยาเหล่านี้ล้วนมีผลข้างเคียง ทําให้เกิดอาการปากแห้ง และทําให้มีความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนตามมาได้ง่าย ซึ่งความผิดปกติต่างๆ ที่เกิดขึ้นบางชนิดที่กล่าวมานี้ ถ้าทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษาอาจทําให้รอยโรคมีโอกาสเปลี่ยนเป็นมะเร็งได้

ลักษณะความผิดปกติและอาการ
โดยปกติเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากจะมีพื้นผิวเรียบสีชมพู ถ้ามีความผิดปกติหรือเกิดโรคเหล่านี้ขึ้น จะทําให้เนื้อเยื่อเหล่านี้มีรอยถลอกหรือกลายเป็นแผล นอกจากนี้โรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันหรือการติดเชื้อรา จะทําให้เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากบางลง ความผิดปกติเหล่านี้ทําให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดหรือแสบโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลารับประทานอาหารรสจัด นอกจากนี้ความผิดปกติบางอย่าง อาจทําให้เนื้อเยื่อหนาตัวหรือบวมโตขึ้นมา ซึ่งผู้ป่วยรู้สึกถึงความผิดปกติได้โดยง่าย

 

วิธีการดูแลรักษา
เมื่อผู้ป่วยมีความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก ผู้ป่วยควรดูแลความสะอาดในช่องปาก ซึ่งเป็นสิ่งจํา เป็นและสําคัญที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซํ้าไปที่แผลหรือความผิดปกตินั้น อาจต้องเปลี่ยนยาสีฟันเป็น ยาสีฟันที่ไม่ทําให้ผู้ป่วยรู้สึกแสบยิ่งขึ้น ใช่ไหมขัดฟันทําความสะอาดฟัน ไม่แนะนําให้ใช้นํ้ายาบ้วนปากใดๆ เพราะอาจทําให้ผู้ป่วยเจ็บแสบยิ่งขึ้น แนะนําให้พบทันตแพทย์หรือทันตแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ช่องปาก เพื่อให้การรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละโรค ซึ่งมีได้ตั้งแต่กําจัดสาเหตุ การให้ยาทาเฉพาะที่หรือยารับประทานเพื่อรักษาหรือบรรเทาอาการของโรค

 

วิธีป้องกันและปฏิบัติตน
การดูแลสุขภาพร่างกายโดยทั่วไป โดยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ ๕ หมู่ การออกกําลังกาย การพักผ่อนให้เพียงพอ การหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การงดสูบบุหรี่ การใช้ยาเส้นยาสูบ หมาก นํ้ายาบ้วนปาก ต่างๆ มีผลต่อสุขภาพที่ดีของเนื้อเยื่อในช่องปากร่วมกับการดูแลสุขภาพช่องปากให้ดีอยู่เสมอไม่ให้มีฟันผุหรือเหงือกอักเสบ โดยการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน ถ้าใส่ฟันเทียมชนิดถอดไดัตัองลัางทําความสะอาดฟันเทียมและถอดแช่นํ้าไวัโดยไม่ใส่ฟันช่วงเวลานอนหลับ เหล่านี้จะช่วยให้เนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากมีความแข็งแรง ลดโอกาสเกิดความรุนแรงหรือความผิดปกติดังที่กล่าวมาแล้ว

 

เมื่อท่านรู้สึกมีความผิดปกติในช่องปาก มีอาการเจ็บปวดหรือแสบร้อน มีแผลเรื้อรังในช่องปาก แนะนําให้ท่านไปพบทันตแพทย์หรือทันตแพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ช่องปาก เพื่อตรวจดูความผิดปกตินั้น และรับการรักษาที่เหมาะสมเพราะการมีแผลเรื้อรังในช่องปากอาจมีโอกาสเกิดมะเร็งช่องปากได้ ไม่แนะนําให้ผู้ป่วยซื้อยามาทาเอง เพราะความผิดปกติของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปาก มิได้เป็นแผลร้อนในชนิดเดียว อาจเป็นโรคหรือความผิดปกติอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

การรักษาทางทันตกรรมกับโรคทางระบบ

MU DENT faculty of dentistry

การรักษาทางทันตกรรมกับโรคทางระบบ

เอกซเรย์ฟันจำเป็นไหม

MU DENT faculty of dentistry

เอกซเรย์ฟันจำเป็นไหม