the-idol-mu-dent-26-1

ขอแสดงความยินดี ผู้ช่วยอาจารย์ ทพญ.วรัญญา จันตะดุลย์

 

สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาวิชา Biological Sciences
จาก University of Liverpool ประเทศสหราชอาณาจักรบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์เหนือ

แนะนำตัว

สวัสดีค่ะ ชื่อวรัญญา จันตะดุลย์ ชื่อเล่นชื่อพลอยค่ะ จบทันตแพทยศาสตร์บัณฑิต ในปี พ.ศ. 2554 จากมหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นบรรจุเป็นอาจารย์ภาควิชากายวิภาคศาสตร์ค่ะ แล้วได้ไปเรียนต่อปริญญาโทในปีพ.ศ. 2555 สาขา Neuroscience ที่สถาบันชีววิทยาศาสตร์โมเลกุล มหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้นได้รับทุน Mahidol-Liverpool PhD Scholarship ไปเรียนต่อปริญญาเอกปีพ.ศ. 2559 ค่ะ

 

สาขาวิชาที่เรียน เรียนที่ไหน ใช้ระยะเวลาในการเรียนกี่ปี

เรียนสาขา Biological Sciences ที่ University of Liverpool ประเทศอังกฤษค่ะ ใช้เวลาเรียนประมาณ 4 ปีค่ะ

 

อยากให้อาจารย์อธิบายที่มาที่ไปของทุนที่อาจารย์ได้รับและการศึกษาต่อ

ทุน Mahidol-Liverpool PhD Scholarship เป็นทุนที่เปิดให้บุคลากรของมหิดลปีละ 1-2 คน ไปศึกษาต่อปริญญาเอกที่ Liverpool โดยอาจารย์ที่ Liverpool จะส่ง proposal ของงานที่อาจารย์สนใจมาให้ทางมหิดลเปิดรับสมัครนักศึกษาเพื่อไปทำงานวิจัยในหัวข้อนั้น ซึ่งทั้ง 2 มหาวิทยาลัยจะคัดเลือกและสัมภาษณ์ผู้สมัครค่ะ พอดีในปีที่สมัครไปเรียนมีหัวข้อเกี่ยวกับ Neurodegenerative diseases ที่สนใจอยู่และอาจารย์ที่ภาคก็สนับสนุนเลยสมัครไปค่ะ ทาง Liverpool จะออกค่าเล่าเรียนส่วนทางมหิดลจะออกค่าใช้จ่ายอื่นๆค่ะ

 

ชีวิตความเป็นอยู่และการปรับตัว ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องส่วนตัวเป็นอย่างไรบ้าง

เรื่องเรียนต้องปรับตัวค่อนข้างเยอะค่ะ เพราะปริญญาเอกที่อังกฤษจะไม่มี coursework ให้เรียนก่อนเริ่มทำวิจัยและอาจารย์ก็จะไม่ได้สอนเราทุกเรื่อง เราก็ต้องหาทางเรียนรู้เองซึ่งถ้าเรามีพื้นฐานไปก่อนก็จะดีมากค่ะ เรื่องทฤษฎีหรือหลักการต่างๆก็ต้องหาอ่านเอง หรือไปสมัครเรียนคอร์สอบรมระยะสั้นหรือถ้าเป็นเรื่อง basic science ก็ไปนั่งเรียนกับเด็กป.ตรีได้ค่ะ ส่วนขั้นตอนการทำแลปก็เรียนจากนักวิจัยหรือเพื่อนๆในแลป ไปดูเค้าทำบ้าง ลองผิดลองถูกเองบ้างค่ะ จริงๆก็สนุกดีนะคะ (ถ้าเรามีทุนค่ะ) ทำให้เราเข้าใจขั้นตอนและวางแผนได้ดีขึ้นค่ะ อาจารย์ก็จะนัดเจอหรือเราไปหาอาจารย์เพื่อรายงานผลค่ะ

ส่วนเรื่องภาษาก็ต้องฝึกฟังฝึกพูดกันค่ะ แต่ละคนก็จะมีสำเนียงที่ต่างกันออกไป ไม่ได้ชัดเหมือนกับเวลาสอบภาษาหรือใน BBC โดยเฉพาะทางเหนือของอังกฤษที่แต่ละเมืองก็จะมีวิธีการออกเสียง (accent) ของตัวเอง อย่าง Liverpool ก็จะมีการออกเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เรียกว่า Scouse accent ค่ะ ฟังค่อนข้างยาก แต่หลายคนก็จะพูดช้าลงหรือพูดสำเนียงกลางๆกับเราค่ะ เราเองก็ต้องพยายามฟังเค้าพูดกันบ่อยๆ หาเรื่องไปคุยกับเค้าบ้างเพื่อฝึกค่ะ (แต่อาจารย์ส่วนใหญ่ก็มาจากที่อื่น พูดฟังได้ไม่ยากมากค่ะ มีแต่อาจารย์เค้าจะไม่เข้าใจที่เราพูด)

เรื่องการใช้ชีวิตก็ต้องปรับบ้างเหมือนกันค่ะแต่ไม่มากเท่าไหร่ สิ่งที่ชอบเกี่ยวกับเมือง Liverpool คือสถานที่แทบทุกที่อยู่ในระยะเดินได้ ทั้งตัวเมือง มหาวิทยาลัย supermarket เรื่องกินอยู่ก็ไม่ค่อยเป็นปัญหา ไม่ต้องเจอรถติดด้วยค่ะ คน Liverpool ส่วนใหญ่ก็น่ารักและเป็นมิตรมาก ใช้ชีวิตกันง่ายๆดีค่ะ บรรยากาศในเมืองก็จะเปลี่ยนไปตามผลบอลค่ะ ถ้าบอลชนะเมืองก็ดูมีสีสันแม้วันฟ้าหม่นค่ะ แต่เรื่องอากาศที่ลมแรงตลอด ครึ้มๆ ฝนตกบ่อยๆ บางวันก็ทำให้เครียดได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน ก็ต้องไปทานข้าว ดูหนังกับเพื่อนบ้างค่ะ อีกอย่างคือทุกคนที่นี่จะทำงานเป็นเวลาค่ะ และเวลาทำงานก็คือทำงานกันจริงจัง เลิกงาน 5 โมงเย็นส่วนใหญ่ก็จะกลับบ้าน ใช้เวลากับครอบครัว (หรือไปกินเบียร์เชียร์บอลกันค่ะ) เหลือแต่คนเอเชียที่ยังทำแลปกันดึกดื่น แต่เราก็ต้องแบ่งเวลาให้ได้ ถึงร้านค้าจะเยอะแต่ก็ไม่ได้เปิด 24 ชม.ค่ะ ก็ต้องเผื่อเวลาเดินไปซื้อของ ทำอาหาร หรือทำงานบ้านก็ถือว่าเป็นการออกกำลังกายและพักผ่อนไปในตัวค่ะ

 

มีเหตุการณ์ที่ประทับใจระหว่างศึกษา

เรื่องประทับใจน่าจะเป็นเรื่องความสุขเล็กๆในแต่ละวันค่ะ มีจากเรื่องงานบ้างหรือการที่ได้ไปทำอาหารที่บ้านเพื่อนๆคนไทยด้วยกัน ได้ช่วยกันซื้อของมาทำอาหาร ได้คุยกัน ดูหนังกันหรือนานๆทีจะไปเที่ยวด้วยกันบ้างก็เป็นเรื่องที่ทำให้ประทับใจได้ค่ะ มีอีกเรื่องคือช่วงที่สอบจบค่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงแรกๆของการระบาดของ COVID-19 ที่อังกฤษ มหาวิทยาลัยปิด ห้ามคนเข้าตึกเลย และยังไม่มีนโยบายแก้ปัญหาเรื่องนักศึกษาที่กำลังจะสอบจบอย่างชัดเจน มีแต่จะให้เลื่อนสอบไปไม่มีกำหนด เพื่อให้สอบและแก้เล่มให้เสร็จก่อนที่ visa จะหมดอาจารย์ที่ปรึกษาเลยต้องทำเรื่องให้มหาวิทยาลัยอนุญาตให้สอบที่บ้านของอาจารย์ได้และ Skype สอบกับอาจารย์ examiners ทั้ง 2 คน วันนั้นอาจารย์ต้องมารับ-ส่งที่สถานีรถไฟ ซึ่งการสอบก็ผ่านไปได้ด้วยดีค่ะ ก็ต้องขอบคุณอาจารย์ที่ช่วยทำเรื่องให้ค่ะ

 

ฝากทิ้งท้าย

ก็สนับสนุนให้ไปเรียนต่อต่างประเทศกันค่ะ จะได้ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องการใช้ชีวิต ได้เพื่อน ได้ฝึกทำอะไรหลายอย่างได้ด้วยตัวเอง เช่นทำอาหาร หรือตัดผม ทำให้เราได้ฝึกความอดทน การวางแผนและการปล่อยวางตอนที่ทุกอย่างอาจจะไม่ได้เป็นไปตามแผน (คล้ายๆกับการเรียนทันตแพทย์) ทำให้มุมมองใน การทำงานเปลี่ยนไปบ้างค่ะ และที่สำคัญคืออาจจะได้ connection กับเพื่อนที่เรียนด้วยกันหรือจากอาจารย์ เผื่อการทำวิจัยต่อในอนาคตค่ะ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

clear formPost comment