การอุดฟัน เมื่อไหร่…ยังไง

การฟอกสีฟันคืออะไร?
การฟอกสีฟัน คือ การทำให้ฟันขาวขึ้นโดยใช้สารฟอกสีฟัน
สาเหตุที่ทำให้ฟันหมองคล้ำ
อาจเกิดจากการติดสีภายในหรือภายนอกตัวฟันก็ได้ หรืออาจเกิดร่วมกันก็ได้ ซึ่งการติดสีภายในตัวฟันก็มีหลายสาเหตุ โดยอาจเกิดจากการได้รับยาบางชนิดในช่วงวัยเด็กที่กำลังอยู่ในช่วงของการสร้างตัวฟัน หรือการเป็นโรคทางระบบบางชนิด ซึ่งก่อให้เกิดความผิดปกติในโครงสร้างของฟัน หรือการได้รับอุบัติเหตุที่ฟัน การกระแทก รอยผุ ฟันตาย ก็สามารถทำให้ฟันเปลี่ยนสีไปได้ ส่วนการติดสีภายนอกตัวฟันนั้น ส่วนมากมักเกิดจากสีที่อยู่ในอาหารที่เรารับประทาน ไม่ว่าจะเป็น ชา กาแฟ ไวน์แดง รวมถึงคราบบุหรี่
วิธีการรักษามีกี่วิธี ? อะไรบ้าง ?
การรักษาเพื่อให้ฟันขาวขึ้นนั้น ต้องพิจารณาวิธีการรักษาจากความรุนแรงของสีฟันที่ผิดปกติไป ขั้นต้นควรลองขัดฟันทำความสะอาดดูก่อนว่าฟันขาวขึ้นหรือไม่ หากยังคงมีสีที่เข้มผิดปกติอยู่จึงพิจารณาฟอกสีฟัน ซึ่งหลักๆ มี 2 วิธี คือ ทำโดยทันตแพทย์ และทำเองที่บ้าน
สำหรับการทำโดยทันตแพทย์ จะใช้สารฟอกสีฟันที่ความเข้มข้นสูงใช้เวลาไม่นาน เห็นผลรวดเร็ว
สำหรับการทำเองที่บ้าน ทันตแพทย์จะพิมพ์ปากเพื่อทำอุปกรณ์ถาดฟอกสีฟัน ให้ผู้ป่วยนำกลับไปใส่ที่บ้าน หรือกรณีที่ทำมาสำเร็จรูปแล้วก็มี
ประสิทธิภาพของการฟอกสีฟัน
ฟันที่ถูกฟอกสีจะมีการคืนกลับของสี เข้มขึ้นเล็กน้อยซึ่งเกิดจากการดูดน้ำกลับของฟัน และจะคงที่ภายใน 6 สัปดาห์แรกหลังจากฟอกสี หากทำโดยทันตแพทย์มักเห็นผลว่าขาวขึ้นทันทีภายหลังจากการฟอกสีฟัน แต่หากเป็นการทำเองที่บ้าน ฟันจะค่อยๆ ขาวขึ้น ซึ่งอาจจะเห็นความแตกต่างได้น้อยกว่า และเนื่องจากการฟอกสีโดยทันตแพทย์นั้นใช้เวลาเร็วเพื่อให้ฟันขาวขึ้น ดังนั้นการกลับคืนของสีก็จะเร็วกว่าการฟอกเองที่บ้านด้วย จึงแนะนำให้ทำร่วมกันทั้ง 2 วิธี ภายใต้คำแนะนำของทันตแพทย์
ข้อดี – ข้อเสีย และผลข้างคียง
ข้อดี ก็เป็นที่แน่นอนว่าทำให้ฟันขาวขึ้น
ข้อเสีย นั้นในบางกรณีอาจเกิดอาการเสียวฟันได้ และหากน้ำยาฟอกสีฟันไปสัมผัสบริเวณเหงือกก็อาจทำให้เกิดแผลได้ นอกจากนี้การฟอกสีจะเปลี่ยนเฉพาะสีฟันเท่านั้น ไม่มีผลต่อวัสดุอุดเดิมและครอบฟันเดิม หากมีวัสดุอุดเดิมอยู่หรือครอบฟันเดิมอยู่ก็อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนให้มีสีที่เท่ากันกับภายหลังการฟอกสี
วิธีการดูแลรักษาเพื่อคงสภาพสีฟันหลังจากการฟอกสีฟัน
งดการรับประทานอาหารที่มีสีเข้ม เพื่อชะลอการติดสีของฟัน และดูแลอนามัยช่องปากให้ดี หากมีอาการเสียวฟันก็อาจใช้ยาสีฟันช่วยลดอาการเสียวฟันได้
การเคลือบผิวฟัน ( Veneer )
การเคลือบผิวฟันคืออะไร ?
การเคลือบผิวฟัน หรือ veneer นั้นคือ การใช้วัสดุสีเหมือนฟันปิดบริเวณผิวหน้าของฟัน
เพราะเหตุใดจึงต้องเคลือบผิวฟัน
ทำเมื่อต้องการแก้ไขขนาด รูปร่าง หรือตำแหน่งของฟันที่มีความผิดปกติเล็กน้อย รวมทั้งในบางกรณีสามารถที่จะเปลี่ยนสีของฟันให้เสมอกันได้ด้วย
ประเภทของการเคลือบผิวฟัน
หลักๆ มี 2 ประเภท
1. การทำ veneer ขึ้นโดยตรงภายในช่องปากด้วยเรซินคอมโพสิต
2. การสร้างชิ้นงานจากห้องปฏิบัติการแล้วนำมายึดติดในช่องปาก ชิ้นงานอาจทำจากวัสดุเซรามิก หรือวัสดุคอมโพสิตอีกชนิดหนึ่ง จะมีความคงทนมากกว่าประเภทแรก ชิ้นงานที่ทำขึ้นจะมีความหนาประมาณ 0.3 – 0.5 mm. หรือประมาณความหนาของ contact lens
ขั้นตอนการรักษา
เริ่มแรกจะต้องได้รับการตรวจประเมินอย่างละเอียดก่อนว่าปัญหาที่ต้องการแก้ไข สามารถแก้ไขด้วยการทำ veneer ได้ จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการกรอผิวเคลือบฟันเพื่อเตรียมให้ฟันมีลักษณะที่เหมาะสมต่อการทำ veneer หากเป็นการทำโดยตรงในช่องปากจะสามารถทำ veneer ด้วยเรซินคอมโพสิตต่อได้เลย แต่หากเลือกใช้วัสดุเซรามิก ทันตแพทย์จะพิมพ์แบบจำลองฟัน ในกรณีที่ต้องส่งแล็บเพื่อสร้างชิ้นงาน เมื่อได้ชิ้นงานแล้วก็นำมายึดติดในช่องปากอีกครั้ง
ข้อดี – ข้อเสีย
ข้อดี มีความคงทน สวยงาม สีจะขาวขึ้นโดยควบคุมได้มากกว่าการฟอกสีฟัน สามารถเลือกสีที่ต้องการได้ตั้งแต่ต้น
ข้อเสีย คือมีการกรอฟัน ทำให้สูญเสียเนื้อฟัน
วิธีการดูแลรักษาหลังทำการเคลือบฟัน
ควรดูแลอนามัยช่องปากให้ดี รวมทั้งควรงดการใช้งานที่ผิดปกติ เช่น นำไปกัดอาหารแข็งหรือเหนียว
ช่องว่างระหว่างฟันคืออะไร
โดยลักษณะปกติแล้ว ฟันสองซี่จะอยู่ติดกันโดยปราศจากช่องว่างแต่ถ้าฟันสองซี่ที่ติดกันไม่อยู่ชิดกันด้วยสาเหตุใดๆก็ตาม ก็จะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อความสวยงามและเศษอาการติดตรงบริเวณนั้นได้
สาเหตุที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันคืออะไร
สาเหตุที่เกิดช่องว่างระหว่างฟันมีด้วยกันหลายสาเหตุ
1. การสูญเสียฟันก่อนกำหนด หรือฟันแท้ไม่ขึ้นในช่องปาก ทำให้มีช่องว่างบริเวณนั้น
2. ความไม่สัมพันธ์กันของซี่ฟันและขนาดขากรรไกร โดยซี่ฟันมีขนาดเล็ก แต่ขากรรไกรมีขนาดใหญ่ แม้ฟันจะขึ้นครบในช่องปากก็ยังเกิดช่องว่างบริเวณนั้นได้
3. ลักษณะนิสัยผู้ป่วยที่มักใช้ลิ้นดุนฟันเวลากลืนทำให้มีแรงดันที่ฟันหน้าเกิดเป็นช่องว่างที่บริเวณนั้น
4. ความผิดปกติของเนื้อเยื่อโยงยึดระหว่างริมฝีปากกับสันเหงือก ที่มีลักษณะหนาหรือแข็งมากกว่าปกติหรือยึดเกาะผิดตำแหน่งทำให้ขวางการเคลื่อนมาประชิดกันของฟันหน้า
5. การได้รับอุบัติเหตุบางประการ ที่ทำให้ฟันโยกเคลื่อนจากตำแหน่งและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
6. เกิดจากผู้ป่วยเป็นโรคปริทันต์รุนแรง ที่ทำให้ฟันเคลื่อนโยกออกจากตำแหน่งเดิมและไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ปัญหาต่างๆนั้นเราสามารถแก้ไขได้อย่างไรบ้าง
สำหรับวิธีการรักษาช่องว่างระหว่างฟัน สิ่งแรกที่ต้องพิจารณาก็คือสาเหตุการเกิดช่องว่างระหว่างฟันนั้นและทำการแก้ไขให้ถูกต้องตามสาเหตุ
การรักษาที่ 1 คือ การติดตามดูอาการร่วมกับการปรับพฤติกรรมในผู้ป่วยที่มีสาเหตุของช่องว่างระหว่างฟันที่เกิดจากการเอาลิ้นดุนฟัน
การรักษาที่ 2 คือ การจัดฟันโดยใช้เครื่องมือช่วยในการเคลื่อนฟันให้มาประชิดกัน
การรักษาที่ 3 คือ การอุดฟันด้วยวัสดุสีเหมือนฟันหรือการใช้การเคลือบผิวหน้าฟันที่เรียกว่า วีเนียร์ (Veeneer)
การรักษาที่ 4 คือ ในกรณีที่คนไข้มีช่องว่างระหว่างฟันที่มีสาเหตุจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อโยงยึดก็จะต้องทำการผ่าตัดแก้ไขร่วมกับการรักษาอื่นๆ ที่กล่าวไปเบื้องต้น
Frenectomy
Koora K, Muthu M S, Rathna PV. Spontaneous closure of midline diastema following frenectomy. J Indian Soc Pedod Prev Dent 2007;25:23-6
การรักษาสุดท้าย ในกรณีที่ช่องว่างระหว่างฟัน มีขนาดใหญ่ที่จะอุดปิดได้ก็อาจจะต้องพิจารณาในการใช้ฟันทดแทน แต่จะเลือกการรักษาโดยวิธีการใด จำเป็นต้องพิจารณาร่วมกับผู้ป่วยด้วยเช่นกัน
การดูแลรักษาหลังจากที่ได้ทำการรักษาไปแล้วควรทำอย่างไร
คือ การแปรงฟันร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันตามปกติ แต่ในกรณีรักษาโดยการอุดปิดด้วยวัสดุสีเหมือนฟันหรือเคลือบผิวฟันอาจต้องระวัง หลีกเลี่ยงการกัดอาหาร แข็งเหนียว เนื่องจากวัสดุอุดหรือบริเวณนั้นมีโอกาสแตกหักได้ง่ายกว่าฟันปกติ
การอุดฟันคืออะไร ?
การอุดฟัน คือ การทดแทนเนื้อฟันที่สูญเสียไปจากกรณีต่างๆ ดังนี้
1. ฟันผุ
2. ฟันสึก
3. ฟันแตกหักหรือบิ่นเนื่องจากอุบัติเหตุ
4. วัสดุอุดเก่าชำรุดหรือบิ่น
เพื่อให้กลับมามีรูปร่างฟันตามปกติ สามารถใช้บดเคี้ยวอาหารได้ รวมถึงมีความสวยงาม โดยเฉพาะในบริเวณฟันหน้า ทันตแพทย์จะเป็นผู้ตรวจและวินิฉัยว่าควรได้รับการอุดฟันหรือไม่
มารู้จักวัสดุอุดฟันกันเถอะ
วัสดุอุดฟันที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันมีดังนี้
1. วัสดุอุดโลหะ (อะมัลกัม)
2. วัสดุอุดสีเหมือนฟัน (เรซินคอมโพสิต)
นอกจากนี้ยังมีวัสดุอุดฟันชนิดอื่นๆ เช่น ทอง กลาสไอโอโนเมอร์ พอร์ซเลน
วัสดุอุดโลหะ (อะมัลกัม)
เป็นวัสดุอุดฟันที่คงทน แข็งแรง และราคาไม่แพง แต่เนื่องจากวัสดุมีสีเงิน/สีเทา มองแล้วไม่สวยงาม จึงไม่นิยมใช้ในบริเวณที่มองเห็นได้ง่าย เช่น ฟันหน้า สำหรับผู้ป่วยที่อุดด้วยวัสดุอุดนี้ ไม่ควรเคี้ยวอาหารด้านที่อุดฟันเป็นระยะเวลา 24 ชั่วโมง เนื่องจากวัสดุที่ใช้ ในระยะแรกยังมีความแข็งแรงไม่เต็มที่ มีโอกาสเสี่ยงต่อการแตกหักได้ อย่างไรก็ตามสามารถเคี้ยวอาหารได้ปกติภายหลัง 24 ชั่วโมง
วัสดุอุดสีเหมือนฟัน (เรซินคอมโพสิต)
เป็นวัสดุอุดที่มีสีใกล้เคียงกับฟันธรรมชาติ จึงมักถูกเลือกใช้สำหรับบริเวณที่ต้องการความสวยงาม วัสดุอุดนี้มีความแข็งแรงพอสมควร แต่รับแรงบดเคี้ยวได้น้อยกว่าวัสดุอุดโลหะจึงไม่นิยมใช้อุดฟันขนาดใหญ่ อาจจะเกิดการบิ่น แตกหักได้ง่าย และมีราคาแพงกว่าวัสดุอุดโลหะ นอกจากนี้ในระยะยาวสามารถติดสีคราบจากชา กาแฟ หรือยาสูบได้
ฟันที่ได้รับการอุดจะอยู่กับเราได้นานเท่าใด ?
ความคงทนของวัสดุอุดนั้นขึ้นอยู่กับ
• ชนิดของวัสดุอุดที่ใช้
• การบดเคี้ยว การใช้งาน การเลือกรับประทานอาหาร ที่ไม่แข็ง และเหนียวเกินไป
• การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากที่ดี
• พฤติกรรมของแต่ละบุคคล เช่น นอนกัดฟัน การแปรงฟันแรงเกินไป เป็นต้น
สรุป
การอุดฟัน เป็นเพียงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียเนื้อฟันที่เกิดขึ้นจากสาเหตุต่างๆ เท่านั้น แต่การป้องกันที่ดีที่สุด คือ การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากของตนเอง ด้วยการแปรงฟันที่ถูกวิธี ลดพฤติกรรมต่างๆ ที่ไม่ดี เช่น การกินอาหารที่เหนียวติดฟัน การใช้ฟันผิดหน้าที่ ชอบเคี้ยวของแข็ง ฯลฯ และมาพบทันตแพทย์เป็นประจำ ปีละ 1-2 ครั้ง เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก