การแปรงฟันถูกวิธี

ใช้ไหมขัดฟันอย่างไรให้ฟันสะอาดยิ่งขึ้น ?
1. ดึงไหมขัดฟันออกมา ความยาวประมาณ 18 นิ้ว ให้พันที่นิ้วกลาง ทั้ง 2 ข้าง ดึงให้ไหมขัดฟันตึง
2. ใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้จับไหมขัดฟันแล้วค่อยๆ เลื่อนเส้นไหมลงระหว่างซอกฟัน
3. โอบไหมขัดฟันรอบตัวฟันแต่ละซี่และเลื่อนเส้นไหมลงใต้เหงือกแล้วเคลื่อนไหมขึ้นไปทางปลายฟัน ทำซ้ำ 4 – 5 ครั้ง
8 ข้อแนะนำที่ควรปฏิบัติก่อนการรักษาทางทันตกรรม
ควรแปรงฟันให้สะอาดก่อนที่จะพบกับทันตแพทย์
ผู้ป่วยหลายๆ คนอาจจะเตรียมตัวมาแล้วในเบื้องต้น
เพราะอาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจ อาย กลัวว่ามีกลิ่นปาก
หรือกลิ่นบุหรี่ ผู้ป่วยที่เตรียมตัวมาแล้วจะมีข้อดีอีกข้อคือทันตแพทย์
จะได้ตรวจและประเมินด้วยว่าถ้าผู้ป่วยแปรงอย่างดีที่สุดแล้ว
ยังมีตำแหน่งไหนที่ผู้ป่วยยังแปรงไม่สะอาดอีก
ทันตแพทย์ก็จะได้แนะนำคนไข้ได้ถูกต้อง
ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงอายุหรือมีโรคประจำตัว
ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน
โรคหัวใจหรือตั้งครรภ์ ควรแจ้งให้ทันตแพทย์ทราบและ
ควรจะนำใบรับรองแพทย์หรือยาติดตัวมาด้วยเพราะในหลายๆ
กรณีของการรักษาทางทันตกรรมจำเป็นต้องดูว่าผู้ป่วยมีโรคทางระบบ
หรือได้รับยาอะไรอยู่บ้าง ทันตแพทย์จะได้ประเมินแผนการรักษา
ทางทันตกรรมในเบื้องต้นเป็นกรณีไปว่ามีผลต่อการรักษาทางทันตกรรมหรือไม่
แต่งหน้าหรือทาลิปสติกบางๆ
ผู้ป่วยจะเลือกแต่งหน้าทาลิปสติกสีที่ชอบมาจากบ้าน
แล้วค่อยเช็ดออกหรืออาจจะทำฟันเสร็จแล้วค่อยเข้าห้องน้ำ
แต่งหน้าทาปากสวยๆ ดีกว่า เพราะการทาลิปสติก
จะเลอะเทอะเปรอะเปื้อนตัวฟันและเครื่องมือของทันตแพทย์
หรือบางทีก็จะมีผลต่อการรักษา
เช่น การเทียบสีของวัสดุอุดฟันหรือในการทำฟันเทียมต่างๆ
กรุณาปิดเครื่องมือสื่อสารหรือปิดเสียง
ในการใช้โทรศัพท์อยากให้เป็นมารยาทร่วมกัน
ของทั้งผู้ป่วยและญาติรวมทั้งทันตแพทย์และผู้ช่วยทันตแพทย์
ขอความร่วมมือผู้ป่วยช่วยปิดเสียงโทรศัพท์
เพราะทั้งทันตแพทย์และผู้ป่วยก็อยากจะให้การรักษาทางทันตกรรมรวดเร็ว
และราบรื่นหรือถ้ามีธุระจริงๆ อาจรอไว้ทำฟันให้เสร็จก่อนค่อยคุยจะดีกว่า
การวางแผนนัดหมาย นัดหมายล่วงหน้า
ถ้าจะให้ดีที่สุดควรจะติดต่อทำการนัดหมายล่วงหน้ามาก่อน
ซึ่งจะช่วยให้ทันตแพทย์วางแผนและควบคุมเวลา
ทั้งในแง่ของการให้การรักษา การเดินทางหรือกิจธุระอื่นๆ
ของผู้ป่วยไม่ใช่รอให้มีอาการหรือมีปัญหาก่อนแล้วค่อยมาฉุกเฉิน
ทุกอย่างอาจจะวุ่นวาย การรักษาอาจจะไม่ได้รับความสะดวกสบายเท่าที่ควร
ในกรณีคนไข้เด็ก
ผู้ปกครองควรพาเด็กมาพบทันตแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ
ก่อนจะมีอาการเจ็บปวดในช่องปาก เพื่อเสริมสร้างความรู้สึกดีๆ
มาทำความคุ้นเคยกับทันตแพทย์กับเก้าอี้ทำฟันก่อน
และไม่ควรปลูกฝังทัศนคติที่ไม่ดีด้วยการขู่ว่า “เดี๋ยวจะให้หมอฉีดยานะ”
“เดี๋ยวจะให้หมอถอนฟันนะ” ข้อดีคือเด็กจะไม่เกิดความกังวล
ไม่เกิดความกลัวในการรักษาทางทันตกรรม การรักษาก็จะไม่ยุ่งยาก
ซับซ้อน ไม่เจ็บ ไม่แพง ไม่เสียเวลา ในขณะเดียวกัน
ถ้าปล่อยปละละเลยให้บุตรหลานของท่านมีฟันผุ
จนกระทั่งปวดแล้วค่อยมาหาทันตแพทย์ การรักษาในวันนั้นๆ ก็จะเจ็บ
มีค่าใช้จ่ายที่สูง และสุดท้ายก็ทำให้เด็กเกิดความกลัวในการมารักษาทางทันตกรรม
เมื่อรับการรักษาเสร็จเรียบร้อย ผู้ป่วยควรดูแลปฏิบัติตน
เพื่อเป็นการป้องกันโรคในทุกๆ วัน ซึ่งเป็นการรักษาที่ดีที่สุด
และควรมาพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน ไม่ว่าจะมีอาการหรือไม่มีอาการก็ตาม
เพราะจะเป็นผลดีต่อตัวท่านเอง ทั้งสุขภาพช่องปากที่ดีและประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย
สุขภาพช่องปากและฟันที่ดีคืออะไร
ถ้าพูดถึงสุขภาพช่องปากแล้ว หลายๆ คนอาจจะคิดถึงแค่สุขภาพฟันเท่านั้น คิดว่าสุขภาพช่องปากที่ดีคือการมีสุขภาพฟันที่ดี แต่ที่จริงแล้วช่องปากของเรามีอวัยวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม กล้ามเนื้อบดเคี้ยวหรือแม้แต่ข้อต่อขากรรไกร
ดังนั้นการมีสุขภาพช่องปากที่ดีจะไม่ได้หมายถึง การที่ไม่มีโรคเกี่ยวกับฟันเท่านั้น แต่หมายถึง ภาวะที่ปราศจากโรคของฟัน เหงือก และอวัยวะอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับระบบบดเคี้ยว ไม่มีอาการเจ็บ ไม่ปวด รวมถึงไม่มีความผิดปกติอื่นๆ เช่นกรณีแผลในช่องปากหรือมีหนอง มีกลิ่นปากหรือแม้กระทั่ง การมีเนื้องอกต่างๆ ในช่องปาก ซึ่งการมีสุขภาพช่องปากที่ดีจะส่งผลทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วย นั่นก็คือเราจะสามารถรับประทานอาหาร ได้อย่างปกติ มีความสุขในการกิน ซึ่งจะส่งผลให้เราเจริญอาหารและมีสุขภาพร่างกายที่ดี
นอกจากนี้การที่เราไม่มีการผิดปกติต่างๆ เช่น อาการเจ็บ อาการปวดระหว่างรับประทานอาหารหรือว่าระหว่างทำงาน ก็จะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ปกติ ที่สำคัญอีกอย่างก็คือ สุขภาพภาพช่องปากที่ดีก็เกี่ยวกับการเข้าสังคมด้วยเหมือนกัน นั่นก็คือ ถ้าเราไม่ต้องกังวลกับเรื่องความสวยงามหรือเรื่องกลิ่นปากต่างๆ เราก็จะสามารถใช้ชีวิตเข้าสังคมได้อย่างมีความมั่นใจ ไม่เสียบุคลิก
ควรจะทำอย่างไรเพื่อจะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี
การมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีนั้นไม่ยากเลย แต่ว่าต้องอาศัยความใส่ใจคือต้องรักษาความสะอาดของช่องปากให้ดี นั่นก็คือแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง แล้วใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ
รวมถึงในเรื่องของอาหารการกินด้วย เราก็ต้องดูแลใส่ใจในการเลือกอาหารการกิน เช่น เราไม่ควรจะทานอาหารที่มีลักษณะเหนียวและแข็งบ่อยๆ เพราะจะทำให้ช่องปากของเราทำงานหนัก ซึ่งจะมีผลทำให้เราปวดขากรรไกร หรือทำให้ฟันสึกได้ ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร เพราะว่าถ้าเราทานอาหารจุกจิก จะทำให้ฟันเราสัมผัสกับอาหารบ่อยขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ฟันของเรามีโอกาสที่จะผุมากขึ้น
อย่างสุดท้ายที่จะทำให้เรามีสุขภาพช่องปากที่ดี คือ ควรมาพบทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อให้ทันตแพทย์ได้ตรวจสุขภาพช่องปากของเราว่ายังอยู่ในสภาวะที่ปกติหรือไม่ ถ้าเจอปัญหาอะไร จะได้แก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ การที่เราไม่มาพบทันตแพทย์เป็นระยะเวลานาน บางครั้งเรามีปัญหาในช่องปากแต่เราอาจไม่รู้ตัว รู้อีกทีก็สายไป เมื่อมาพบทันตแพทย์ การรักษาอาจจะยากขึ้น หรือว่าไม่สามารถรักษาฟันซี่นั้นๆ ได้อีกต่อไป
ฟันผุเกิดจากอะไร
ฟันผุเป็นผลลัพธ์ของกระบวนการทำลายแร่ธาตุ (Demineralize) ของโครงสร้างฟัน ซึ่งมีสาเหตุมาจาการสร้างกรดของแบคทีเรียเพื่อมาย่อยเศษอาหารที่ตกค้างหลังจากที่เราทานอาหารเข้าไปนั่นเอง (ความเชื่อที่ว่า “แมงกินฟัน” นั้นอาจจะหมายถึง “แบคทีเรีย” ที่สร้างกรดซึ่งมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นไม่ใช่แมงหรือแมลงเป็นตัวๆ !!!)
ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เกิดฟันผุ
๑. ฟันและสภาพช่องปากของเรา
๒. เชื้อแบคทีเรีย (ซึ่งอยู่ในช่องปากของเราทุกคนเป็นปกติ)
๓. อาหารโดยเฉพาะประเภทน้ำตาล
๔. เวลาและความถี่ในการบริโภค เช่น การทานจุบจิบระหว่างมื้ออาหาร
ส่วนไหนของฟันที่มักพบว่าผุได้มากกว่าส่วนอื่น
ฟันของเรามีส่วนที่ราบเรียบและส่วนที่เป็นหลุมร่องฟันต่างๆ ซึ่งส่วนหลุมร่องฟันนี่เองที่มีโอกาสจะเกิดฟันผุได้ง่ายเพราะเป็นตำแหน่งที่มีโอกาสที่เศษอาหารที่ตกค้างจะสะสมอยู่และมักจะไม่สามารถทำความสะอาดได้หมด จึงทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย นอกจากนี้ตำแหน่งที่เรียกว่าซอกระหว่างฟันหรือด้านประชิดของฟันคือตำแหน่งที่ฟันอยู่ติดกับฟันซี่อื่นก็มักจะมีฟันผุได้ง่ายเช่นกัน ซึ่งฟันผุในลักษณะนี้จะมีการลุกลามอย่างรวดเร็วและในหลายๆ กรณีมักจะเกิดฟันผุติดกันทั้ง ๒ ซี่
ถ้าฟันผุแล้วไม่รักษาจะเกิดอะไรขึ้น
ปัญหาที่เกิดตามมาจากฟันผุมเยอะมาก ถ้าฟันผุลกมากๆ ก็จะมีอาการเสียวฟัน ปวดฟัน บางกรณีก็จะมีปัญหาเรื่อง บุคลิกภาพ เช่น เรื่องการมีกลิ่นปาก ปัญหาเรื่องความสวยงาม นอกจากนี้หากมีฟันผุลึกมากจนทะลุชั้นเนื้อเยื่อในฟันก็จะเกิดการติดเชื้อหรืออักเสบ ทำให้มีอาการปวดร่วมกับมีการบวมอาจมีตุ่มหนอง ซึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหาทีมีความร้ายแรงอื่นๆ ต่อได้ เช่น ฟันโยกจนต้องถอนฟันหรือเกิดการติดเชื้อลุกลามเข้าสู่ระบบอื่นๆ ของร่างกายได้
วิธีป้องกันฟันผุมีวิธีใดบ้าง
เป็นเรื่องที่ทุกๆ ท่านทราบกันดีอยู่แล้ว หากพิจารณาจาก ๓
– ๔ ปัจจัยที่ทำให้เกิดฟันผุนั้น ปัจจัยจากเชื้อโรคเราคงควบคุมไม่ได้มาก ปัจจัยจากตัวฟันเราควบคุมได้ในระดับหนึ่ง เช่น การเคลือบหลุมร่องฟัน แต่สิ่งสำคัญคือปัจจัยจากอาหารที่เราทานเข้าไปทุกวัน ซึ่งถ้าเราสามารถทำความสะอาดได้เกลี้ยงดจนไม่เหลือเศษอาหารตกค้างก็จะเป็นอาหารให้เชื้อแบคทีเรียมาย่อยสลายจนเกิดกรดมาทำลายเนื้อฟันได้ ดังนั้นการทำความสะอาดฟันที่มีประสิทธิภาพก็จะช่วยลดโอกาสการเกิดฟันผุได้ ได้แก่ การแปรงฟันอย่างถูกวิธีโดยใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟัน
นอกจากนี้เรื่องพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ทานอาหารจุบจิบอาหารระหว่างมื้อ การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์ การไม่สูบบุหรี่ การไม่ใช้ฟันผิดหน้าที่ เช่น การใช้ฟันเปิดขวด (หรือการแข่งใช้ฟันยกของหนักๆ หรือลากรถเพื่อทำสถิติ!) การไม่ไปรับการรักษาที่ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เช่น การจัดฟันแฟชั่น การทำฟันปลอมเถื่อน เป็นต้นสิ่งเหล่านี้สามารถช่วยลดโอกาสในการเกิดฟันผุและรวมไปจนถึงปัญหาอื่นๆ ของสุขภาพช่องปาก (เช่น มะเร็งในช่องปาก) ได้ด้วย
ผู้คนทั่วไปมักละเลยไม่เอาใจใส่สุขภาพช่องปากเห็นว่าปัญหา เช่น ฟันผุนั้นไม่ร้ายแรงไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ปัญหาโรคในช่องปากนำมาซึ่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตโดยตรงทั้งทางร่างกาย อารมณ์ จิตใจทางด้านสังคม เช่น ความมั่นใจ บุคลิกภาพเด็กที่มีปัญหาฟันผุมากๆ ก็มักจะมีปัญหาในด้านการเจริญเติบโต บางทีอาจถึงขั้นต้องหยุดเรียนจนเสียการเรียนไป หรือหากเป็นผู้ใหญ่ที่ละเลยปล่อยให้ปัญหาฟันผุลุกลามไปมาก ขั้นตอนการรักษาก็ยิ่งต้องซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพิ่มภาระทั้งค่าใช้จ่ายและเวลาในการรักษาที่นานมากขึ้น ทั้งที่ในความจริงแล้วเราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาต่างๆ ด้วยการดูแลสุขภาพช่องปากของเราให้ดี การทำความสะอาดช่องปากอย่างถูกวิธีและทั่วถึง หมั่นเอาใจใส่ตรวจดูฟันของเราอยู่เสมอและควรไปพบทันตแพทย์อย่างน้อยปีละ ๒ ครั้ง เพื่อตรวจหรือให้การรักษาในขณะที่ปัญหาหรือโรคต่างๆ ยังไม่รุนแรง เพื่อสุขภาพช่องปากที่ดีจะอยู่คู่กับเราไปนานๆ
รอยฟันสึกที่เกิดจากการประกอบอาชีพ (Abrasion from Occupation)
รอยฟันสึกที่เกิดจากการประกอบอาชีพ (Abrasion from Occupation) นั้นสามารถเกิดจากกระบวนการที่เป็นการเสียดสีหรืออาจเกิดจากการทำงานกับสารเคมีบางชนิด ซึ่งในแผ่นพับนี้จะเน้นการเสียดสีที่เกิดได้จากการประกอบอาชีพ
รอยฟันสึก (Abrasion)
รอยฟันสึกนี้เกิดจากการที่มีวัตถุแปลกปลอมเสียดสีหรือถูบริเวณผิวฟันเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นซ้ำเป็นเวลานาน สาเหตุหลักคือการใช้ฟันหน้าที่ผิดหน้าที่ ได้แก่ การใช้ฟันหน้าในการกัดด้ายเย็บผ้าหรือเข็ม
การกระทำเหล่านี้นำไปสู่การสึกของฟันหน้า อาชีพที่พบรอยสึกเช่นนี้ ได้แก่ ช่างเย็บผ้า ช่างไม้ ช่างจักสาน ตามลำดับ ในการดำเนินงานโครงการพัฒนาองค์ความรู้เพื่อพัฒนาแนวคิดการดูแลทันตสุขภาพของผู้ด้อยโอกาสในท้องถิ่นทุรกันดารของคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าในชุมชนที่มีอาชีพจักสานเป็นอาชีพหลักหรืออาชีพเสริมในชุมชนนั้นๆ จะพบว่ามีรอยสึกที่ฟันหน้าด้านเพดานฟันบนและรอยสึกที่ฟันหน้าล่างด้านริมฝีปากซึ่งเป็นการสึกถึงระดับที่ชั้นเนื้อฟัน ในกรณีรุนแรงอาจพบการสึกเกินกึ่งหนึ่งของตัวฟันซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากอย่างยิ่ง ดังนั้นการให้ความรู้เพื่อให้เกิดความตระหนักในการใช้ฟันผิดหน้าที่ในกลุ่มเสี่ยงจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง
การวินิจฉัยรอยสึก
โดยทั่วไปเริ่มจากการสอบถาม ซักประวัติ เกี่ยวกับการประกอบอาชีพของครอบครัว ตลอดจนการศึกษาประวัติศาสตร์ชุมชน และอาชีพเสริมภายในชุมชน ส่วนการตรวจสอบทางคลินิกของรอยสึกมีสองวัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ การบันทึกตำแหน่ง ลักษณะของรอยสึก และระดับความลึกของรอยสึก
การบูรณะฟันที่สึก
วิธีการรักษา ใช้วิธีอุดฟันหรือครอบฟันแต่ทั้งนี้ ความสำเร็จของการรักษาในระยะยาวจะขึ้นกับการดูแลสุขภาพในช่องปากที่ดีควรมีวิธีแนะนำให้ผู้ป่วยทราบถึงสาเหตุและหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดรอยสึกขึ้นอีก
การป้องกัน
ควรมีการให้ความรู้เพื่อให้เกิดความตระหนักในการใช้ฟันผิดหน้าที่ และหลีกเลี่ยงกิจกรรมดังกล่าวตลอดจนมีการดูแลในช่องปากและพบทันตแพทย์อย่างต่อเนื่อง
เลขที่ 888 ม.6 ถ.บรมราชชนนี ต.ศาลายา อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม 73170
เบอร์ตรง 0-2849-6600